Friday, December 14, 2007

Liar Game






ช่วงนี้ Series เกาหลีหมดสต๊อก ไม่รู้จะดูเรื่องอะไร เลยหันเหมาสนใจ Series สัญชาติพี่ยุ่นแทน
หลังจากประทับใจมากๆกับ Hana Yori Dango ทั้ง 2 ซีซั่น แล้วสุดปลื้มกับ Nodame Cantabile


ตอนนี้หันมากรี๊ดเรื่องนี้... Liar Game








อ่านเจอข้อมูลของ Liar Game จากกระทู้ห้องการ์ตูนในเหลิมไทย
แล้วรู้สึกว่าพล็อตของเรื่องนี้น่าสนใจมาก เกี่ยวกับเกมส์ชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง...เกมส์แห่งการหลอกลวง








ต่อไปจะเป็นการสปอยล์มหาประลัย SPOILER ALERT from this point !!!!!!



เปิดเรื่องด้วยการแนะนำให้ผู้ชมรู้จักกับน้องนางเอก คันซากิ นาโอะ ที่มีบุคลิกส่วนตัวแปลกสุดโต่ง
ที่ว่าแปลก ไม่ใช่แนวต๊องอัจฉริยะแบบโนดาเมะ หรือ บ้าๆบวมๆแบบอีตาโดเมียวจิ

แต่ นางเอกเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีสุดๆ เชื่อใจคนสุดๆ แล้วก็ซื่อจนเข้าขั้นเซ่อเลยทีเดียว
(มีอย่างที่ไหน โดนคนโทรมาหลอกว่าน้องชายกำลังเดือดร้อนก็เชื่อ...ทั้งๆที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวแท้ๆ)

นางเอกเข้าสู่วังวนของ Liar Game เมื่อวันหนึ่งเธอกลับถึงบ้านแล้วพบพัสดุพร้อมจดหมายเชื้อเชิญให้เข้าร่วมเล่นเกมส์ ซึ่งมีเดิมพันสูงถึง 100 ล้านเยน!





ด่านที่หนึ่ง....Stealing Game

กติกาแสนง่าย (แต่ทำยาก) กำหนดไว้ว่า ผู้เข้าแข่งขันสองคนได้รับเงินเริ่มต้นคนละ 100 ล้านเยน และจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขโมยเงินจากฝ่ายตรงข้ามมาให้ได้


ทีนี้ด้วยความซื่อ นาโอะจังของเราก็หลวมตัวเข้าร่วมเกมส์อย่างเง็งๆ จะถอนตัวก็ไม่ได้ ก็เลยได้แต่ร้อนรนไม่รู้จะทำยังไง จนวันถัดมานางเอกได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า คนที่จะต้องแข่งด้วยเป็นคูณครูสมัยมัธยมของตัวเอง ด้วยความซื่อ(บื้อ) ก็เลยรีบวิ่งแจ้นไปหาครูคนนั้น พร้อมทั้งหอบเงิน 100 ล้านเยนของตัวเองไปด้วย


คุยกับอีตาครูได้ไม่ถึงสิบนาทีเลยมั๊ง น้องนางเอกก็โดนหลอกเอาเงินไปจนหมด โดยที่คิดว่าครูจะช่วยเอาไปใส่ธนาคารไว้ให้แล้วรอวันสิ้นสุดการแข่งขัน ก็จะเอามาคืนเจ้าของเงินไป เป็นอันสิ้นสุดเกมส์


ที่ไหนได้ ตาครูวางแผนอุ๊บอิ๊บเงินไว้ตั้งแต่แรก พอนางเอกรู้เข้าก็ถึงกับเข่าอ่อน เพราะหากครบกำหนดแล้วไม่มีเงินมาคืน ก็เท่ากับ ตัวเองต้องเป็นหนี้ใครก็ไม่รู้ตั้ง 100 ล้านเยน!!!


นางเอกนั้นมีพ่อที่ป่วยต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ตัวเองก็ใช้ชีวิตไปวันๆไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน จู่ๆต้องมาเป็นหนี้ถึงร้อยล้าน เล่นเอาลมแทบจับ


กำลังอับจนหนทาง ก็มีคนมากระซิบให้นาโอะจังรู้จักกับจอมต้มตุ๋นอัจฉริยะที่ชื่อ ชินอิจิ อากิยามา หรือ พระเอกของเรื่องนั่นเอง



อากิยามานั้นเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากคุก ก็เจอนาโอะมาคุกเข่าขอให้ช่วย ในตอนแรกเขาก็ไม่สนใจและไม่อยากยุ่ง แต่ความซื้อบวกบื้อของนาโอะกลับกระแทกใจเข้าอย่างจัง เพราะทำให้เขาคิดถึงแม่ตัวเอง ที่จำต้องฆ่าตัวตายเพราะโดนคนไม่ดีหลอกให้เป็นหนี้ก้อนโตเช่นกัน



งานนี้พระเอกเลยเดินลงหลุมพรางของ Liar Game เข้าอีกคน



พ่อหนุ่มอากิยามาคนนี้มีดีกรีทางจิตวิทยา แล้วก็ฉลาดเป็นกรด เขาใช้วิธีกดดันและเล่นสงครามประสาทกับอีตาครูจอมโลภของนางเอก จนกระทั่งสามารถชิงเงินทั้งหมดกลับมาได้

ครบสามสิบวันนาโอะจังจึงเป็นฝ่ายชนะและได้ครอบครองเงินรางวัล 50 ล้านเยน ส่วนอีก 50 ล้าน ยกให้อากิยามาเป็นค่าจ้าง


แต่เพราะความเป็นคนดีและขี้สงสารของนาโอะ ทำให้เธอนำเงินส่วนของเธอไปให้ครู เพื่อให้เขานำไปใช้หนี้ พ่อพระเอกเห็นเข้าก็อดรนทนไม่ไหว ยกเงินให้เหมือนกัน

นาโอะโล่งใจและคิดว่าเกมส์คงจบลงเพียงเท่านี้ แต่....นี่มันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น!!!






ด้วยเงื่อนไขที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ ผู้ชนะจะต้องเล่นในด่านต่อไป แต่หากต้องการถอนตัวจากเกมส์แล้ว จะต้องคืนเงินรางวัลครึ่งหนึ่งที่ได้รับ ซึ่งในกรณีของนาโอะนั้น เป็นมูลค่าถึง 50 ล้านเยน





อากิยามาแนะนำให้นาโอะนิ่งเฉยเสีย อย่าไปสนใจเกมส์อีก แต่น้องนาโอะก็โดนล่อหลอกให้เข้าสู่กับดักของเกมส์มหาประลัยนี้อีกจนได้ ร้อนถึงพระเอกที่ตอนนี้ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ ทั้งสมเพชนางเอก ต้องตามเข้ามาร่วมเล่นเกมส์ด้วย










ด่านที่สอง...Minority Game





เกมส์นี้มีผู้ร่วมแข่งขันถึง 22 คน แถมเงินรางวัลก็เพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า





กติกาของเกมส์ก็เริ่มประหลาดขึ้น โดยให้ผู้แข่งขันออกมาถามคำถาม yes/no แล้วให้ทุกคนลงคะแนนเลือกคำตอบ ฝ่ายที่มีผู้เลือกน้อยกว่า จะเป็นฝ่ายชนะและได้เล่นต่อจนกว่าจะหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ส่วนฝ่ายที่แพ้ต้องจากไปพร้อมหนี้ก้อนโตเช่นเดิม





ด้วยความฉลาดเป็นกรด แล้วก็ช่างสังเกตของอากิยามา ทำให้เขาสามารถเป็นผู้ชนะได้อีกครั้ง และสามารถช่วยเหลือผู้แข่งขันอีก 14 คน (รวมน้องนาโอะจังด้วย) ให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้ องค์กรลับผู้เป็นเจ้าของเกมส์ไปได้






แต่ตัวเขาเอง กลับต้องเดินหน้าเล่นเกมส์ต่อ อย่างไม่มีทางเลือก












รอบแก้ตัว...Restruturing Game



ระหว่างที่พระเอกรอเล่นเกมส์รอบที่สามนั้น น้องนาโอะก็โดนหลอก (อีกแล้ว) ให้กลับเข้ามาเล่นเกมส์รอบแก้ตัวอีกครั้ง


ตอนนี้คนดูเริ่มได้กลิ่นแม่งๆแล้วล่ะว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเกมส์นั้นคงจะต้องการอะไรสักอย่างจากพระเอกแน่ๆ โดยใช้นางเอกเป็นเหยื่อล่อ



พร้อมๆกันนั้น ก็ได้เรียนรู้ถึงความผูกพันที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างพระเอกกับนางเอก (คนหนึ่งก็กลับเข้ามาเล่นเกมส์ที่ไม่อยากเล่นเพราะอยากให้อีกคนหลุดพ้นจากเกมส์ด้วย ส่วนอีกคนก็เป็นเดือดเป็นร้อนนักหนาเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาสู่เกมส์สยองนี้อีกครั้ง)




เกมส์รอบแก้ตัวนี้ ผู้เข้าแข่งขันคือ ผู้แพ้จากรอบที่แล้วจำนวน 8 คน รวมนาโอะที่ทะเร่อทะร่าากลับเข้ามาเล่นด้วยเป็น 9 คน


นาโอะผู้แสนซื่อโดนทั้งหลอกทั้งล่อจนอยู่ในขั้นวิกฤต ลางแพ้ลอยมาเห็นเด่นชัด และในวินาทีเกือบสุดท้ายนั้นเอง พ่อพระเอกก็ปรากฏตัวในฐานะ ของใช้ส่วนตัวของนาโอะจัง (Naochan's personal belonging 555)




ดูตอนนี้แล้วรู้สึกถึงความขัดแย้งในตัวละครอย่างเห็นได้ชัด



นาโอะจัง ซื่อบื้อเข้าขั้นโง่ แต่ก็มีจิตใจดี ไม่คิดร้ายแม้กระทั่งคนที่ทำร้ายตัว


ในขณะอากิยามาซังนั้น ฉลาด ทันคน ไหวพริบเฉียบคมไม่มีใครเทียบ แต่ก็เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่รู้จักคำว่าให้อภัย





ในที่สุด นางเอกก็ผ่านด่านนี้ไปได้ พร้อมทั้งได้ปลดปล่อยผู้เข้าแข่งขันอีกคนออกจากเกมส์




ส่วนอีกแปดคนที่เหลือ ยังต้องร่วมชะตากรรมกันต่อไปในด่านที่สาม








ด่านสุดท้าย...Contraband Game






วิธีการเล่นของด่านนี้ค่อนข้างซับซ้อน ตอนที่ดูต้อง rewind กลับไปกลับมาหลายครั้งมาก เกมส์แบ่งผู้แข่งขันออกเป็นสองฝ่ายสองเมือง แต่ละฝ่ายต้องส่งตัวแทนไปขโมยเงินจากธนาคารของเมืองตรงข้ามมาให้ได้มากที่สุด แต่การขโมยก็ไม่ได้ง่ายเพราะอีกฝ่ายจะส่งตัวแทนออกมาตรวจสอบเช่นกัน หากผู้ตรวจสอบทายถูกว่าเงินถูกขโมยออกมาเท่าไร ฝ่ายที่ขโมยก็ต้องกลับเมืองของตัวเองไปด้วยมือเปล่า





หนังเปิดเผยให้คนดูได้รู้ถึงอดีตของพระเอกมากขึ้น แล้วก็ยังมีตัวร้ายที่ร้ายเข้ากระดูกอย่างโยโกย่าเข้ามาร่วมเล่นเกมส์ด้วย





เกมส์นี้คนดูเครียด เพราะมีคนทรยศเต็มไปหมด แถมเกมส์ยังพลิกไปพลิกมา เวลาที่ทีมของพระเอกนางเอกกำลังย่ำแย่ เล่นเอาใจหายใจคว่ำ




แต่สุดท้าย...ธรรมะก็ย่อมชนะอธรรม....


การยึดมั่นในความดีของนางเอกทำให้ทุกคนได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่ แล้วหันกลับมาร่วมมือเพื่อเอาชนะเกมส์ไปพร้อมๆกัน





เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากเราไม่เห็นแก่ได้ คิดแต่ประโยชน์ของตน และไม่หลอกลวง ไม่ทำร้ายคนอื่น ทุกคนก็อยู่อย่างสงบสุข ไม่มีใครต้องเดือดร้อน


















>>>เก็บตกกับ Liar Game




พอปริศนาทุกอย่างเฉลย ก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตอนแรกนั้นคิดว่า พระเอก คือเป้าหมายสำคัญของเกมส์นี้ แต่เอาเข้าจริง กลายเป็นนางเอกต่างหากที่ถูกทดสอบว่า จะรักษาความดี ความใสซื่อบริสุทธิ์ของตัวเองเอาไว้ได้ไหม หากต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อันโหดร้ายและบีบคั้น


แล้วน้องนาโอะจังก็สอบผ่านฉลุย ... แต่แอบสงสัยนะว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่อิงนิยาย คนอย่างนางเอกเรื่องนี้จะมีชีวิตรอดไปได้จริงหรือ ถึงในละครเองก็เถอะ ถ้าไม่มีพระเอกมาคอยช่วยเหลือ ก็คงจอดไม่ต้องแจวตั้งแต่เริ่มเกมส์แรกแล้ว

จริงๆแล้วชอบภาพวาดสุดท้ายของ Mr.Hasegawa เพราะมันบอกเราว่า ถึงแม้มนุษย์มีการต่อสู้ แก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกันมากเพียงใด แต่หากมีความหวัง แม้เพียงน้อยนิด (นางฟ้าออร่ากระจายแค่คนเดียว) ก็คงจะทำให้โลกนี้ไม่ดำมืดหรือว่าโหดร้ายจนเกินไป







>>> นักแสดง






เรื่องนี้ได้ Matsuda Shota หรือ พ่อหนุ่มคาสโนว่านามโซจิโร่ แห่ง F4 จาก Hana Yori Dango มารับบท อากิยามา ชินอิจิ ผู้แสนเฉลียวฉลาด





แว่บแรกที่เห็นโชตะในโปสเตอร์หนังแล้วแทบกรี๊ด เพราะ วิกที่พ่อคุณใส่นั้นเข้าขั้นโคม่า น่าเกลียดมากๆๆๆๆๆ ใครหนอสรรหามาให้ใส่ น่าจับมาตีมือแล้วไล่ไปศึกษาวิชาว่าด้วยวิกเสียจริงๆ ส่วนในละครทรงผมดีขึ้นหน่อย แต่ก็ออกแนวเหนียวๆเหมือนผมไม่ได้สระมาเป็นเดือน (ดูแล้วคิดถึงสเนปเลย)



แต่สิ่งที่ทำให้หันมาหลงรักโชตะนั้น คือการแสดงขั้นเทพของเขา


(พอแอบสืบประวัติดูก็ไม่แปลกใจแล้ว เพราะครอบครัวมัตสึดะเล่นเป็นนักแสดงกันทั้งบ้าน เรียกว่าการแสดงคงอยู่ในสายเลือดของโชตะไปแล้ว)




ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หน้านิ่งๆกับแววตารู้ทันกับรอยยิ้มมุมปาก หรือ เสียงหัวเราะเวลาที่เห็นว่าคู่ต่อสู้ทำอะไรน่าสมเพชเสียเหลือเกิน ก็ทำให้ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


ยิ่งเวลาที่มองนางเอกทำตัวซื่อบื้อนะ โอย คนดูอยากละลาย




ที่สำคัญ พอย้อนกลับไปดู HYD แล้วทำให้รู้สึกว่า โชตะ เท่ห์และหล่อขึ้นจมเลย ^__^






ส่วนคนที่รับบท นาโอะจัง นางเอกแสนดีที่สุดซื่อนั้น คือ Toda Erika หรือ น้องมิสะ มิสะ จาก Death Note


รายนี้ไม่ปลื้มเป็นทุนเดิมตั้งแต่คราวที่เล่นเดธโน๊ต เจอหน้าอีกครั้งตอนเล่นเป็นอูมิใน HYD ก็ยิ่งเหม็นขี้หน้า แต่พอได้มาเห็นในเรื่องนี้ ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะ เปลี่ยนใจมาปลื้มมมมมมมมากกกกกกกกกกกก

เอริกะ เล่นเป็นสาวน้อยผู้แสนซื่อและมองโลกในแง่ดีได้สมจริงมากกกกก เรียกว่าทำเอาทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ ทั้งเอาใจช่วย ทั้งอยากตี ทั้งอยากเตะ ฯลฯ อีกมากมาย

เหมือนๆกับว่า นาโอะจังเป็นตัวแทนคนดูด้วย เพราะตามความคิดอันชาญฉลาดของคนอื่นในเรื่องไม่ค่อยทัน (แต่บางครั้งที่นาโอะโดนหลอกซ้ำๆแบบไม่น่าโดน คนดูอยากเข้าไปหยิกให้เนื้อเขียวแล้วบอกว่า เมื่อไหร่จะฉลาดเสียที ห๊ะ???)

ส่วนคนอื่นๆในเรื่องก็เล่นได้ดีไม่แพ้กัน อาจจะออกแนวโอเวอร์แอคติ้งตามสไตล์พี่ยุ่นไปบ้าง แต่ก็ทำให้คนดูคล้อยตามในบทบาทที่พวกเขาได้รับ โดยเฉพาะเหล่าตัวร้ายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น นายหัวเห็ดจอมทรยศ-ฟูกูนากะ หรือ เจ้าเห็ดน้อย-โอโน ที่เผลอไผลหลงไปกับอำนาจที่ได้รับ




ที่ต้องยกนิ้วให้เพราะเล่นแล้วคนดูทั้งโกรธ ทั้งเกลียดแทนนางเอก (เพราะคุณน้องนางเอกเค้าไม่เคยโกรธใครเลย...ให้ตาย) อยากจะโดดเข้าจอไปเอานิ้วจิ้มตาเขียวๆ ก็คือ อีตาโยโกยา





โดยเฉพาะฉากที่เค้าบอกนาโอะจังว่า "โลกนี้น่ะ มีคนที่เลวเข้ากระดูกอย่างน้อยก็คนนึง...อยู่ตรงหน้าเธอนี่ไง" ขอคารวะในความเลวเลย

.
.




.






ต้องยอมรับว่าคนเขียนบทละครเรื่องนี้ฉลาดมาก มีลูกล่อลูกชน เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวให้ตื่นเต้นตลอด แถมการเดินเรื่องก็เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่มีอืดไม่มียืดไม่มีย้วยเลยสักนิดเดียว

ดูแล้วอยากให้คนเขียนบทบ้านเรามาศึกษาไว้เป็นตัวอย่างจริงๆ ว่าบทละครดีดีควรจะเป็นยังไง

จากที่เคยรู้สึกว่า ละครญี่ปุ่นทำให้คนญี่ปุ่นดูรู้เรื่องเท่านั้น ตอนนี้เปลี่ยนใจและเริ่มจะปลื้มละครญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นี่ถ้าเพิ่มความหวานแหววเข้ามาอีกสักนิดจะชนะละครเกาหลีเลยด้วยซ้ำ (เพราะละครเกาหลีหลังๆเริ่มยืดยาดไม่น้อย)

แต่ขนาดไม่มีเรื่องรักหวานแหวว เรากลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีดีที่พระเอกและนางเอกมีให้กัน ไม่ต้องกอดกัน ไม่ต้องจับมือ แค่ได้เห็นเค้ายิ้มให้กัน เราก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้แล้ว

สรุป...ให้ 5 ดาวเลย สำหรับ Liar Game

Monday, December 10, 2007

Dreams

ความฝันเกิดขึ้นได้ยังไง?
แล้วการฝันซ้ำๆในเรื่องเดิมๆมันมีความหมายอะไรไหม?
ฝันแล้วตื่น แล้วกลับไปฝันต่อ มันบอกอะไร?
แล้วทำไมถึงต้องรู้สึกโหวงๆในใจแปลกๆกับความฝัน?

ตลกดี... แปลกดี...

Thursday, December 6, 2007

นิยายของดวงตะวัน ตอน ชุดธิโมส์-แผ่นดินแสงดาว

ความเดิมตอนที่แล้ว พรรณนานำไปร่องว่าเหตุใด "ดวงตะวัน" จึงเป็นนักเขียนคนโปรด
วันนี้มาต่อกับนิยายเรื่องอื่นๆของดวงตะวันที่ประทับใจดีกว่า

เท่าที่อ่านมา เรียกว่าประทับใจทุกเรื่อง มากน้อยลดหลั่นกันไปตามความสวยหล่อของพระนาง ฮา...


หลังจาก "แผ่นดินหัวใจ" ชื่อของดวงตะวันก็ขึ้นชาร์จไปอยู่อันดับหนึ่ง เลยชักจะไม่ค่อยมั่นใจว่า อ่านเรื่องไหนก่อนหลัง เอาเป็นว่าจะเขียนถึงเป็นชุดๆไป ก็แล้วกัน


เสน่ห์อีกอย่างที่นักเขียนหลายๆท่านหันมานิยมใช้ผูกเรื่องกันก็คือ การให้ตัวละคร หรือเรื่องราว มีความสัมพันธ์กันจากเรื่องหนึ่งสู่อีกเรื่องหนึ่ง โดยที่แต่ละเรื่องก็มีความสมบูรณ์ในตัวเอง

เรียกว่า อ่านครบก็ได้อรรถรสดี อ่านแค่เรื่องนี้ก็เข้าใจ... อะไรทำนองนั้น




ถ้าพูดถึงดวงตะวัน แล้วไม่พูดถึงนิยายชุดธิโมส์ ก็เหมือนไม่ได้อ่านนิยายของดวงตะวัน !!! (ปานนั้น)


ธิโมส์ มีคำแปลเก๋ไก๋ว่า แผ่นดินแสงดาว
ดินแดนแห่งจินตนาการที่ดวงตะวันสรรสร้างขึ้น แปลกตรงที่ อ่านยังไง้ ก็เห็นเป็น สยามประเทศ ไปเสียทุกที


เหนือ - ริชธ์ เป็นภูเขาสูง
ออก - อลันจา ชายฝั่งทะเล ฝนตกชุกทั้งปี
ใต้ - อลาส เมืองหลวง มีทางออกทะเล
ตก - โมเนตา ที่ราบ ก็ยังติดทะเล


อันนี้เห็นแฟนๆหลายคนยุให้ดวงตะวันนำเอาภาพร่างแผนที่ของธิโมส์ออกมาอวดโฉม แต่ยังไม่เห็นใจอ่อนเสียที ก็ได้แต่ร้องเพลงรอและใช้บริการน้องจิ้นส่วนตัวกันต่อไป



นิยายในชุดนี้ ประกอบไปด้วย ๕ เล่ม (นับถึงเวลาที่กำลังเขียนบลอคนี้)




๑. รุ้งจันทร์ตะวันดาว

สารภาพอย่างไม่อายว่ายังอ่านไม่จบ!
ก็เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความดราม่า เครียด การเมืองเข้มสุดโต่ง ของมันขจรขจายเข้าหูมานานแสนนาน

ความรักของพระนางเรื่องนี้ก็อึมครึม คลุมเคลือ อ่านจบแล้วคนอ่านยังต้องมาถกกันว่า ตกลงรักกันไหม? รักอีกคนอ๊ะป่าวเนี่ย? อะไรอย่างนี้

จอดอยู่ที่ราวๆบทที่สิบ เลยยังไม่อยากพูดถึงมากกลัวไม่เป็นธรรมกับหนังสือ


แต่คนเขียนบอกว่า เป็นเรื่องที่ชอบสุดในชุดธิโมส์ เลยคิดว่า คงจะควรค่าแหละน่า
รอให้โตทางความคิดอ่านกว่านี้อีกสักนิด อาจจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น แล้วจะกลับไปอ่าน...นะจ๊ะ







๒. รักที่ริมทะเลเมฆ

อ่านเล่มนี้เป็นเรื่องแรกของชุดธิโมส์ ได้รับอานิสสงค์จากน้องสาวสุดสวยคนเดิมที่ส่งแผ่นดินหัวใจมาให้นั่นแล


ยกให้เป็น...รักที่ริมทะเลเมฆสีจมปู... 555


เนื่องด้วย พระเอกช่างเท่ห์ แอบเจ้าเล่ห์ หล่อเหลา ร่ำรวย บุคลิกดี โอย ชายในฝัน (อีกแล้ว)



คุณเคช พระเอกเป็นคนเคเชรี ชนเผ่าลึกลับบนภูเขาสูง
คนกลุ่มนี้มีวิธีการวัดความจริงใจของคนได้น่าสนใจมากกกก


เขาใช้ "การกอด" เป็นดัชนีค่ะท่าน
เขาว่า เวลาที่คนกอดกัน คือเวลาที่หัวใจอยู่ใกล้กันมากที่สุด เพราะฉะนั้นใจใครเต้นเร็วเต้นช้า เต้นโครมๆ เต้นแจ๊ส เต้นแร๊ปโย่ว ยังไง จริงใจแค่ไหน วัดกันได้จากตอนนี้แหละ


เออ...แนวคิดได้ใจวุ้ย
ได้ใจอีตาพระเอก ตอนขอ 'ทาม' วัดใจนางเอกอ่ะนะ ^___^


สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของนิยายในชุดธิโมส์ไม่กว่ากี่เรื่องๆ คือ ผู้หญิงมักเป็นใหญ่ (อยากไปอยู่ประเทศนี้จริงๆ)
และผู้ชายก็ต้องยอมศิโรราบแก่ผู้หญิง ไม่เว้นแม้แต่เทพเจ้าในตำนาน
เพราะอย่างนั้น เราเลยได้เห็น ผู้นำประเทศ ผู้นำชุมชนท้องถิ่นของธิโมส์ ที่เป็นเพศหญิงซะส่วนมาก



นางเอกรุ้งจันทร์ตะวันดาว เป็น ปันตา - นายกรัฐมนตรี
นางเอกรักที่ริมทะเลเมฆ ก็ไม่น้อยหน้า เป็น วาตี - ผู้นำชุมชนประมงริมทะเล แห่งรันนาวาตี


รักที่ริมทะเลเมฆดำเนินเรื่องว่าด้วยความรักของเคช-กิรันนาเป็นแกน อยู่บนฉากหลังที่เรียกว่าเป็น ลายเซ็นต์ในยุคแรกๆของดวงตะวัน นั่นคือ ประกอบไปด้วย ผลประโยชน์ ความขัดแย้ง ความหลัง ความแค้นและการทรยศของคนใกล้ตัว



เรื่องนี้อ่านแล้วหวาน หวาม วิบวับ วิ๊งๆ
ก็คนเขียนเล่นประกาศว่า เขียนเรื่องนี้เพราะสนองรีเควสของเพื่อนที่ต้องการนิยายที่พระนางนัวเนียกันเยอะๆ นี่นา O_o


แถมคุณเคชขา ยังมีวีรกรรมขับฮอฯส่องไฟให้รถสาวอันลือลั่น เรียกว่า กวาดหัวใจสาวน้อยสาวใหญ่ไปได้ตรึม



แต่นิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นสีชมพูอย่างเดียว ยังมีสีแดง สีดำ สีช้ำเลือดช้ำหนองเข้ามาแซมเป็นกระสัย ไม่ให้เรื่องเบาหวิวโหวงเกินไปนัก

ปันตาศาวีรันดาก็มาโผล่ๆให้เห็นความฉลาดกันแว๊บๆ แล้วยังมีการทิ้งปมตัวละครไว้ให้เรื่องต่อไปด้วย



อ่านแล้วชอบ มีแค่พี่เคชคนเดียวก็เกินคุ้มแล้วเรื่องนี้ ^o^







๓. ดอกไม้และสายลม


ย้ายฉากมาอยู่ที่ราบลุ่มตอนกลางของประเทศ คาเรนา แหล่งเพาะดอกไม้และหัวใจของการเกษตรแห่งแผ่นดินแสงดาว - อ่านแล้วชวนให้คิดถึงแถบลพบุรีกับทุ่งตานทะวันเสียจริง


เรื่องราวสืบเนื่องมาจากรักที่ริมทะเลเมฆเปิดเอาไว้ เมื่อบัณทรี ตัวร้ายจากเรื่องนั้น ต้องการตามล่าหัว ซอร่า ลูกครึ่งเคเชรีซึ่งทำงานให้คุณเคช และบัณทรีเชื่อว่า นอกจากจะทำให้กลุ่มบัณทรีแทบล่มสลายแล้ว ยังเป็นต้นเหตุให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน (ที่เลวไม่แพ้พ่อ) ต้องตายอย่างอนาถอีกด้วย


นางแบบสาวหัวสูงจึงเดินทางมาหลบวิถีกระสุน ในใจกลางสวนธีลาแสนสวยของ เรน พ่อหนุ่มผมยาวแห่งคาเรนา


จะว่าไปพลอตแบบนี้มีเห็นบ่อยมาก ประเภทคุณหนูไฮโซ กับ นายกระจอกชาวไร่ชาวสวน (ที่เนื้อแท้แล้วเป็นเจ้าของกิจการนะ) แต่พอใส่ความเป็นธิโมส์ ความเป็นคาเรนาเข้าไป ทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


และก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ตอนอ่านจินตนาการภาพดอกธีลาเป็นดอกพุทธรักษาทุ้กที

เรื่องนี้ก็ดำเนินไปสไตล์ดวงตะวัน (ยุคแรก) คือ อยู่บนเส้นทางของผลประโยชน์ ความขัดแย้ง ความรัก ความหลัง ความแค้น และคนใกล้ตัวที่ทรยศ

อ่านแล้วพอจะเดาทางเรื่องได้ เพราะมาแนวๆเดียวกับรักที่ริมทะเลเมฆ แต่รายละเอียดที่ต่าง บุคลิกตัวละครที่ต่าง ฉากหลังที่ต่าง ก็ทำให้ดอกไม้และสายลมมีลายเส้นเป็นของตัวเอง

ในที่สุดดอกไม้ก็ช่วยให้สายลมปั่นป่วนค้นพบทิศทางของตัวเอง ความรักก็เริ่มเบ่งบาน

แต่อย่าคิดว่าซอร่าจะเป็นสาวติ๋มอย่างนางเอกเรื่องอื่น ฉากอันลือลั่นของเรื่องนี้เร้าใจกว่าฉากขี่ฮอฯส่องไฟของพี่เคชหลายขุม เพราะคุณซอร่า เธอเล่นขอหนุ่มเรน...ลงอ่างด้วย...ซะงั้น

แต่ก็น่ารักดี ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเขิน ผู้หญิงก็กล้าแบบเหนียมหน่อยๆ (กลัวโดนปฏิเสธ) ไม่ได้หื่นจนเลือดกำเดาพุ่ง

บอกแล้วแผ่นดินนี้ ผู้หญิงคุม 5555




๔. ปราสาททรายในสายฝน

ไปเที่ยวเมืองหลวงกันมาแล้วใน รุ้งจันทร์ตะวันดาว
แล้วก็ออกชายฝั่งตะวันตกและขึ้นเทือกเขาเร้นลับแห่งเคเชรีใน รักที่ริมทะเลเมฆ
ย้ายเข้าไปอยู่สวนดอกไม้ภาคกลางใน ดอกไม้และสายลม

คราวนี้ก็ถึงเวลาบุกทะเลตะวันออก...เมืองคนดุ โอจา

เพราะคนเขียนเกริ่นเอาไว้ว่า เมืองนี้เต็มไปด้วย เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล ระดับบิ๊กๆ 'บี'ๆ คนอ่านเลยเตรียมใจไว้รอรับพระเอกแบบโหด เถื่อน เนื้อเรื่องนี่เดาไว้ว่าน่าจะออกแนวตบจูบ จุ๊บๆ แน่ๆ

เอาเข้าจริง คนอ่านหงายหลัง เจอเจ้าพ่อคนดุ แต่สิ้นลายกลายเป็นไอ้หนุ่มหน่อมแน้มทันทีเมื่อเจอสาว (ดุกว่า)

ไม่รู้คนอื่นว่ายังไง แต่ส่วนตัวอ่านแล้ว ท่านบีแบลค ไม่ดุอ่ะ ไม่ดุเลยซักกะนิด โดยเฉพาะเวลาอยู่กับตรีดามาส

เรื่องนี้มีปมต่อมาจากดอกไม้และสายลมก็ตรงที่ เมืองคนดุนี้เป็นบ้านเกิดและฐานอำนาจของบีบัณทรี ตัวร้ายจากสองเรื่องก่อนนั่นแล
เมื่อบัณทรีวายปราณไป กลุ่มอิทธิพลอื่นๆของโอจาก็เริ่มเคลื่อนไหวตื่นตัว มีการโจมตีกันระหว่างกลุ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างก็กล่าวโทษกันว่าเป็นผู้เริ่ม และไม่มีใครยอมลดราวาศอก

ประมาณ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่างนั้นเลย

เรื่องราววุ่นวายในโอจาเกิดขึ้น พร้อมๆกับการมาถึงของคณะนักสำรวจทางโบราณคดี ซึ่งมีตรีดามาสเป็นหัวหน้าคณะ...

ก็บอกแล้ว ประเทศนี้ผู้หญิงคุม!

ตรีดามาสและคณะมาเพื่อค้นหา กีระดารา - ปราสาททราย ในเขตพื้นที่บ้านของ บีแบลค
แต่สิ่งที่เธอค้นพบ กลับเป็น ระดา - ความรัก ในเขตพื้นที่หัวใจของ บีแบลค แทน

แล้วก็เหมือนเดิม เรื่องนี้ยังคงมีลายเส้นของดวงตะวันยุคเก่า ผลประโยชน์ ความขัดแย้ง ความหลัง ความแค้น อีกแล้ว คน(ไม่)ใกล้(ไม่ไกล)ตัวทรยศ

บุคลิกตัวร้ายค่อนข้างเหมือนเดิม เลยเดาได้ตั้งแต่ยังแสร้งทำเป็นดีนั่นแหละ

แต่ชอบเรื่องนี้มากกกกกก
ตรงที่มีเรื่องเกี่ยวกับโบราณคดีเข้ามาเอี่ยว (เป็นความฝันวัยเยาว์ ที่ถูกกระชากปลุกขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงปากท้องในอนาคต)
แล้วดวงตะวันก็เอาความรู้จริงๆ ที่มีแหล่งอ้างอิงได้ ไม่ได้นั่งเทียนเอาเอง มาแทรกสอดไว้เป็นระยะ เพลินดี และทำให้ลุ้นหาคำตอบตามไปด้วย

แต่เจ็บใจมากกกกกกกกกกกก เช่นกัน
ปกตินิยายของดวงตะวันถึงจะเกี่ยวเนื่องกัน แต่ก็จบในตอน ไม่ได้ปล่อยระเบิดไว้ให้รอตามกันแบบนี้
(ถึงคนเขียนจะบอกว่า เคลียร์ประเด็นหลักในเรื่องนี้จบสมบูรณ์แล้วก็เถอะ ฮึ่ม)

รอซิคะงานนี้ ร้องเพลงรอไป เพราะเล่มต่อยังเป็นวุ้นอยู่ในสมองคนเขียนอยู่เลยอ้ะ

สิบเอ็ดเดือนที่แทบกระอักด้วยความอยากรู้

ปราสาททรายในสายฝนได้อ่านเมื่อ ตุลา'๔๙
ผีเสื้อลายตะวันตีพิมพ์ มีนา'๕๐
กว่าผีเสื้อจะกระดึ๊บๆ เอ๊ย กระพือปีกมาถึง ตุลา'๕๐

ข้าเจ้าลงแดงตาย





๕. ผีเสื้อลายตะวัน

เล่มแรกในชุดธิโมส์ ที่ย้ายบ้านมาอยู่กับสำนักพิมพ์ของตัวเอง... สำนักพิมพ์ดวงตะวัน

ก่อนหน้าที่เล่มนี้จะออก ก็มีการคาดเดากันไปต่างๆนานาเกี่ยวกับปริศนาที่คนเขียนทิ้งไว้ในเล่มก่อน
พอได้อ่านก็ต้องร้องว่า "คุณหลอกดาว" เพราะเงื่อนงำที่ทิ้งไว้ ชวนให้คิดไปอีกทางหนึ่งเลย

แต่ก็เห็นหลายคนเดาเรื่องถูก สงกะสัยเฮากึ๊ดบ่ทันเองแหละเน่อ

เรื่องนี้จะเห็นได้ว่าเริ่มเข้าสู่ความเป็นดวงตะวันยุคใหม่ ทิ้งลายเส้นเก่าๆออกไปมากเหมือนกัน (ถ้าเป็นสไตล์เดิมอาจจะได้เห็น ธีร์หรือเรเชน กลายเป็นคนทรยศ อะไรประมาณนั้น) ซึ่งเป็นการดี อ่านซ้ำๆเดิมจนเดาทางได้มามากแล้ว เปลี่ยนบ้างจะได้ไม่เบื่อ

แต่เนื่องจากความมั่นใจว่ายังไงเรื่องนี้ก็ไม่ Y ตามกระแสแน่
บวกกับความอยากรู้อยากเห็นเลยแอบเปิดตอนจบก่อน
เลยทำให้อ่านแบบเรื่อยๆ ไม่ลุ้นแล้ว แต่ก็พยายามหาเงื่อนงำที่คนเขียนแทรกซ่อนคำเฉลยไว้ในบทต่างๆ

งานนี้...ตกหลุมรักนางเอก เท่ห์โฮกกกกกกก แบบไม่มีเฮก
เท่ห์จนพระเอกบางครั้งก็หม่นแสงไปเลยเหมือนกัน 55

ความจริงพลอตหญิงปลอมเป็นชายมีเกลื่อน
แต่ที่ปลอมแล้วคนทั้งโลกไม่รู้แบบนี้หาได้ไม่บ่อย
(เพราะส่วนใหญ่คนทั้งโลกจะรู้ยกเว้นพระเอกคนเดียว ที่ฉลาดน้อย ;P)

แถมพอมาอยู่ในเรื่องนี้ ที่มาที่ไปมันแน่นมาก เหตุผลของตัวละคร ความที่ถูกหล่อหลอมปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยที่จะเข้าใจว่า ทำไมถึงต้องปลอมตัวและทำไมถึงปลอมได้แนบเนียนขนาดนั้น

ตะหงิดๆอยู่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ เพราะเท่าที่คิด ถ้าจะปลอมให้เหมือนๆ นางเอกต้องออกแนว ไข่ดาว หรือถ้าจะให้ดีเป็นไม้กระดานไปเลย แต่เรื่องนี้นางเอกสุดแสนจะงามอวบอึ๋ม ปลอมเนียนได้นี่คงต้องมีเทคนิคดีน่าดูชม

ชอบพลอตหลักของเรื่องนี้ตรงที่เน้นความรักชาติ ทำเพื่อชาติบ้านเมืองมากกว่าประโยชน์ส่วนตน อ่านแล้วอยากให้สยามประเทศมีคนแบบ กาย กานาเมซ เยอะๆจริง แต่อย่างว่าเถอะ เอาเข้าจริงโดยส่วนตัวเองก็ยังรักชาติแบบครึ่งๆกลางๆเลย ของแบบนี้คงต้องให้ลองเจอ ลองสัมผัสด้วยตัวเองแบบชาวธิโมส์ในเรื่องถึงจะคิดกันได้กระมัง

อ้อ...โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ ผู้หญิงคุม อีกแล้วครับท่าน

ชาวมุง@พันติ๊ปปปปปปปป

โดยปกติก็ไม่ได้อินเทรนด์ เกาะติดสถานการณ์จานด่วนอะไรกับใครเท่าไหร่
หลายครั้งก็เข้าไปร่วมมุงกะเค้าตอนงานเลิก ตลาดวายแล้ว บ่อยๆ

แต่ก็ยัง...ชอบมุง
โพสต์มั่ง ไม่โพสต์มั่ง แล้วแต่อารมณ์และฝีปาก รวมถึงดีกรีความ 'วอน' ในขณะนั้น

โดยเฉพาะเรื่องนักเขียน นักเขี่ย นักลอก นักก๊อปในห้องสมุดนี่ชอบมุงเป็นที่สุด
เพราะส่วนตัวชอบอ่าน (นิยาย) และเคยหัดเขียน (อยู่สามบทแล้วก็จอด จุกแอ้กไปต่อไม่ได้)
รู้เลยว่า กว่าจะออกมาเป็นหนังสือดีดีสักเล่ม มันต้องบิวท์พลังลมปราณกันขนาดไหน

ล่าสุด (แปลว่า ล่าช้าสุด รู้ช้าสุด ช้ากว่าชาวมุงที่ดีพึงรีบมุง) กับข่าวค(ร)าวสะท้านวงการ ที่เล่นเอาสะเทือนกันไปสามภพ
เรียกว่า งานนี้ขามุงขาใหญ่ ได้แต่แอบมุงเงียบๆกันตาปริบๆ (เล่นเอาเป็นงง...ไมไม่วิเคราะห์ไรกันเลยคะพี่???)

ที่สนใจหรือในภาษาแถวบ้านเรียกอยากเจือกมากหน่อย เพราะมีชื่อนักเขียนที่เคยนิยมชมชื่นมาเอี่ยว
ใจจริงก็ไม่อยากจะฟันธงว่าใครผิดใครถูก กลัวธงฟ้าราคาประหยัดจะหัก
แต่ดูจากปฏิกิริยาของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่แปลงสัญชาติเป็นขอมกันไปทีละคนสองคน
ก็อดทอดถอนใจไม่ได้....หรือจะจริงดังเขาว่า ????

เรื่องมันเงียบไปแล้ว คนก็เลิกมุงกันแล้ว ละครก็ลาโลง เอ๊ย โรงไปแล้ว ก็ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะขาบ (เดี๋ยวมันกัดเอา)
ได้แต่เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ว่า....
ระวัง โปรดอย่ามองข้ามความปลอดภัยทำอะไรตริให้หนัก มิฉะนั้นอาจเป็นเช่นฉะนี้

และนี่เป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยชอบโพสต์กระทู้ในเวลาของขึ้น
เพราะวันหนึ่งน้ำร้อนๆที่สาดออกไป อาจจะไหลย้อนกลับมาโม๊ะเข้าที่หน้าตัวเองเอาได้

เคยเม้นท์ให้นิยายของนักเขียนบก.วิทยากรท่านนั้นไว้ว่า... นางเอกนิยายเขาโชคดี สามารถย้อนอดีตกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดได้ แต่ชีวิตจริงคงไม่มีใครมีโชคเช่นนั้น....

วันนี้ขอเพิ่มเติมว่า....ย้อนอดีตไม่ได้ก็จริง แต่แก้ไขสิ่งที่ผิดไปแล้วได้ในวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น นะ จะบอกให้.....

It's my life (and everybody's too)

เฮ้อ... อย่าคิดว่าคนอื่นไม่เจอปัญหา
ใครๆเค้าก็มีปัญหาเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ
ใช่ว่าชีวิตจะเส็งเคร็งอยู่คนเดียวซะที่ไหน

ในปัญหาบางครั้งก็หาความสุขเล็กๆได้
จากครอบครัว จากคนรัก จากเพื่อน อยู่รอบๆตัวทั้งนั้น
มองดีๆ เดี๋ยวก็เจอ ขอแค่มองเท่านั้นแหละ

สู้โว้ยยยยยยยยยยย

K-Drama ตอน My Name is Kim Sam Soon



ในชั่วโมงนี้ กระแสเกาหลีกำลังได้รับความนิยมอย่างหนักในบ้านเรา เรียกว่า จะหนัง ละคร เพลง ดารานักร้อง อาหาร ขอให้เป็นเกาหลีเถอะ รับรองขายได้หมด

โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบละครเกาหลีหลายๆเรื่อง แต่จะเรียกว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้คงไม่ได้ เพราะไม่นิยมดูซ้ำ ดูเอาเนื้อเรื่อง ผ่านแล้วผ่านเลย ชอบมากชอบน้อยก็ครั้งเดียวหยุด รายละเอียดจำแทบไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ไม่ชอบก็จะไม่ทนดูจนจบ จอดตรงไหนก็แล้วแต่ความน่าเบื่อ


แต่เรื่องที่ชอบและอยากเขียนถึงก็มีไม่น้อย ขอเริ่มต้นจากเรื่องที่ชอบที่สุดในตอนนี้

My Name is Kim Sam Soon

ขอสารภาพเลยว่า ที่สนใจจะดูเรื่องนี้ สาเหตุเพราะนางเอกล้วนๆ ก็จะมีสักกี่ครั้งกันล่ะ ที่สาวเจ้าเนื้อจะได้ขึ้นแท่นเป็นนางเอกละครน่ะ!



อย่างมากที่เคยเห็นก็เป็นหนังละครประเภท นางเอกเคยอ้วน แล้วสุดท้ายก็ผอม ได้ครองรักคู่กับพระเอกอย่างมีความสุขแล้วก็จบ เฮ้อ... พลอตบาดใจคนอวบระยะสุดท้ายเสียนี่กระไร

ในชีวิตจริง มันผอมกันง่ายๆเสียที่ไหนเล่า!!!!!!



พอได้ดูก็พบว่า แม่สาวคิมซัมซุนนั้น ไม่ใช่แค่อวบ (ผิดหวังเล็กน้อย เพราะนางเอกแค่อวบระยะต้นๆเท่านั้น) แต่ยังแก่ ปากร้าย แล้วก็ขี้บ่นขี้โวยวายเป็นที่สุด

เปิดเรื่องมา นางเอกก็โดนแฟนเก่าทิ้ง เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ มันแค่ไม่ธรรมดาตรงที่เธอเข้าไปทำอย่างนั้นในห้องน้ำชายเนี่ยสิ แถมคนที่มาพบมาเจอสภาพอันสุดแสนจะน่าสมเพชของซัมซุนดันเป็นพระเอกเสียด้วย

เจอกันครั้งแรกก็ประทับใจมิรู้ลืมเลยทีเดียว คู่นี้

เรื่องราวยุ่งๆก็ตามมากระหน่ำใส่คู่พระนาง (รวมถึงคนดู) อย่างไม่ยั้ง เมื่อจินฮอน (พระเอก) จ้างซัมซุนมาเป็นคู่รักกำมะลอเพื่อให้แม่จอมบงการของเขาเลิกยุ่งกับการจับคู่ให้เสียที

สังเกตว่าละครเกาหลีเล่นมุกนี้ค่อนข้างบ่อย สงสัยวัฒนธรรมจับลูกนัดบอดยังคงแพร่หลายในเกาหลี

นอกจากจะเป็นคู่รักหลอกๆอย่าบอกใครของพระเอกแล้ว นางเอกยังมาเป็นเชพขนมหวานให้ร้านอาหารของพระเอกด้วย

ข้อดีอย่างหนึ่งของซัมซุนก็คือ เวลาที่เธอทำขนม เธอจะมีความสุขมาก ทำให้คนดูพลอยมีความสุขไปด้วย

เมื่อคู่รักหลอกๆอย่างซัมซุนเกิดตกหลุมรักพระเอกขึ้นมาจริงๆ ในเวลาที่คนรักเก่าซึ่งพระเอกยังคงจำฝังใจกลับเข้ามาในชีวิตของเขาพอดี งานนี้ซัมซุนของเราก็ต้องช้ำรักเป็นครั้งที่สอง

ภาพของซัมซุนที่เดินตามรถแท๊กซี่พระเอกกลับมาที่โรงแรมเล่นเอาคนดูน้ำตาซึม

พระเอกก็ทำตัวงี่เง่า เหยียบเรือสองแคม เป็นหมาหวงก้าง น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด แต่ก็แอบลุ้นเอาใจช่วยทุกครั้งที่พระเอกไปลากนางเอกออกมาจากนัดบอดหรือมาตามตอแยนางเอก (สงสารชายหนุ่มที่มาจ๊ะเอ๋นัดบอดกับซัมซุนบ่อยๆ บางครั้งก็อยากให้คู่กันจริงๆไปซะเลย...ดูๆไปแล้วเหมาะสมและเข้ากันกับซัมซุนได้ดีกว่าพระเอกอีก)

ในละคร นางเอกเกลียดชื่อของตัวเองมาก พยายามที่จะเปลี่ยนชื่อตลอดเวลา ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ชื่อซัมซุน มันไม่ดีตรงไหน? แต่เท่าที่อ่านเอาจากความเห็นตามเวบบอร์ดต่างๆก็ได้ความว่า เป็นชื่อที่เช๊ยเชยสุดๆ

ใครได้ยินก็หัวเราะเยาะ มีเพียงพระเอกเท่านั้นที่บอกว่าไม่เห็นจะเป็นไร ซัมซุนเลยแก้ลำด้วยการเรียกพระเอกว่า "ซัมซิก" ซึ่งเป็นชื่อที่แสนเชยพอกันสำหรับผู้ชาย

และในที่สุด พระเอกก็แพ้ภัยความแปลกที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครกล้าเหมือนของซัมซุน หันมาตกหลุมรักสาวอวบเอาจริงๆจังๆ ก่อนจะนำไปสู่ฉากน่ารักๆบนยอดเขาที่เกาะเชจู

ละครเรื่องนี้ไม่มีบทสรุป ความรักของซัมซุนกับซัมซิกจะดำเนินไปอย่างไร ผู้กำกับมอบให้เป็นหน้าที่ของคนดูที่จะวาดต่อจินตนาการไปเอง ทิ้งท้ายไว้เพียงว่า ณ วันนี้ ทั้งสองรักกัน มีกันและกัน และยังคงมีอุปสรรคที่จะต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน


แม้ว่าจะเป็นพวกสุขนิยมแต่ก็ชอบตอนจบแบบนี้ และคิดว่ามันก็เป็นการจบอย่างมีความสุขแล้วในระดับหนึ่ง

อีกอย่างมันดูสมจริงกว่าการจบแบบ และแล้วเจ้าชายและเจ้าหญิงก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป แบบนั้นมันดูเป็นเทพนิยายเกินไปหน่อย ถ้าคิดถึงความจริงที่ว่าความแตกต่างของทั้งสองมีมากมายขนาดไหน

ตอนจบของเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเพลง รับได้ไหม ของแมว จิระศักดิ์

...เมื่อวันนี้เพิ่งเริ่มรักทุกอย่างก็สดใส แต่นานไปมันอาจไม่เป็นอย่างนั้น
จะรับได้ไหมถ้าถึงวันนั้น ทุกอย่างที่เธอฝันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา
จะรับได้ไหมถ้าวันหนึ่ง เธอได้รู้ว่า แท้จริงคนอย่างฉันมันก็แค่คนธรรมดา คนหนึ่ง...

ตัวละครในเรื่องนี้ถือว่ามีมิติ สมกับเป็น "คน" มากๆ
นางเอกก็ขาดๆเกินๆ พระเอกก็มีมุมเห็นแก่ตัว นางรองก็ไม่ได้แสนดีจ๋า พร้อมที่จะแย่งชิงเพื่อคนที่รักเหมือนกัน

เราจึงได้เห็นฉากที่ผู้หญิงสองคนยื้อแขนพระเอกไว้คนละข้าง ซึ่งคงไม่ค่อยได้เห็นในละครไทยที่นางเอกต้องหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ลดตัวไปแย่งผู้ชายกับใคร (พระเอกไทยโดนยื้อแขนเหมือนกัน แต่คนที่ยื้อเป็นนางร้ายทั้งสองข้าง)

จะมีก็แต่พระรอง คุณหมอเฮนรี่ที่แสนดีมากกกกกกกกกกก ตามสูตรพระรองเกาหลีเป๊ะๆ ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูแบนราบไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่ให้อภัยเพราะความหล่อโฮกของคุณหมอ

อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าเริ่มดูเรื่องนี้เพราะนางเอก แล้วก็เพราะนางเอกอีกเหมือนกันที่ทำให้ชอบละครเรื่องนี้

คิมซอนอา ที่รับบทเป็น คิมซัมซุน เล่นละครแบบไม่ห่วงสวย ไม่กลัวเสียภาพพจน์ ตัวละครซัมซุนจึงมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก

จริงๆเท่าที่ติดตามผลงานของเธอมา ก็ไม่คยเห็นเธอห่วงสวย เรียกว่าเป็นนักแสดงคุณภาพคนหนึ่ง หนังที่เธอเล่นทั้ง S-Diary และ She's on duty ก็สร้างความประทับให้ไม่แพ้กัน คงได้มาเล่าในโอกาสต่อไป

ปล. เพลงประกอบเรื่องนี้เพราะหลายเพลง ชอบมากคือ Farewell without farewell เพลงช้าจังหวะเศร้าๆที่กินใจแม้จะไม่รู้ความหมายทั้งหมดของมัน

ปล.ที่สอง What's up fox? ที่มาแนวนางเอกกินเด็กคล้ายกัน แถมได้คนเขียนบทคนเดียวกัน กลับไม่ค่อยสร้างความประทับใจเท่าที่ควร

ได้คะแนนติดลบโดนปรับตก เพราะ อีตาพระเอกที่คนเขากรี๊ดกันหนักหนา มันหน่อมแน้มเกินชาย บางครั้งก็งอนน่าเตะเป็นที่สุด
เลยตัดใจไม่เขียนถึงดีกว่า เมื่อไม่ชอบก็ปล่อยเขาไป คนชอบเขาก็ยังมี

Saturday, November 24, 2007

Happy Black Friday

The day starts @ Thu 8.45pm and ends @ Fri 9.30 pm

Black Friday mania!!!
Last Thanks Giving here (Hopefully)

Snowfall at Grove city outlet and it's freezing cold but people still shop like crazy.

Everything is quite expensive this year.
Could it be that we're here for too long and shop too much till we know what the price should be?

The Guitar Hero and Dance Dance Revolution (DDR) game are so tempting!
Anyway, I'm quite short so...end of story :(

Why can't I sleep at night lately? Am I getting insomnia????
Hrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr...

Wednesday, November 21, 2007

จากแก้วตาหวานใจถึงผีเสื้อลายตะวัน (ดวงตะวัน) ภาคหนึ่ง

นาทีนี้หากมองไปที่ชั้นหนังสือของตัวเองก็คงจะบอกได้ไม่ยากเย็นนักว่า...ดวงตะวัน...คือนักเขียนคนโปรด

ด้วยหนังสือที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนนั้น คือ นิยายของดวงตะวัน

คล้ายๆกับกิ่งฉัตร ดวงตะวันมีสำนวนการเขียนที่ไพเราะ เรียบง่ายและจับใจ อีกทั้งทุกๆเรื่องก็มีสาระมากกว่าความเป็นนิยายประโลมโลก มากกว่าความรักหญิงชาย บางเรื่องยังสอดแทรกแนวคิดเรื่องปัญหาสังคมไว้อย่างลึกซึ้งด้วย




รู้จักชื่อของดวงตะวันครั้งแรกจากนิยายเรื่อง "แก้วตาหวานใจ" ที่ติดตามเป็นตอนๆใน (คาดว่าน่าจะเป็น) นิตยสารกุลสตรี และส่งให้ชื่อของดวงตะวันขึ้นมาอยู่ในลิสต์นักเขียนที่น่าจับตามองในทันที



เรื่องราวของหวันยิหวา หรือ ไข่หวาน...ผู้หญิงแมนเกินหญิง กับ อนิล หรือ ลุงช้าง...ที่อ่อนโยนเกินชาย ที่โคจรมาพบเจอกันได้ ด้วยสายใยบางๆที่ชื่อ เด็กหญิงมดตะนอย เด็กหญิงตัวน้อยที่เป็นลูกของพี่ชายนางเอกกับน้องสาวพระเอก!!

ด้วยความที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ความผูกพันจึงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อย

เรื่องนี้นางเอกมาอาศัยอยู่กับพระเอก เพื่อภารกิจสองอย่าง คือ ตามหาหลาน กับ พิสูจน์ตัวเอง (ด้วยการประกวดเป็นพรีเซนเตอร์ของสถาบันการเงิน) โดยที่เข้าใจว่า ลุงช้างเป็นเกย์!!!

อ่านแล้วหลงรักตัวละครหลายตัว ไข่หวานก็เท่ห์ ลุงช้างก็อบอุ่น มดตะนอยก็น่ารัก แม้เรื่องราวบางอย่างจะน่าเบื่อเนื่องจากความอ้ำอึ้งของตัวละครบางตัว แต่ก็ต้องยกประโยชน์ให้ เพราะหากชัดเจนกันหมดเสียแต่แรก ก็คงไม่มีนิยายสนุกๆให้อ่าน

เสียดายที่เรื่องนี้ช่องเจ็ดได้ไป โปรดักชั่นของช่องนี้ไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงได้เห็นตัวละครในหนังสือออกมาโลดแล่นได้ประทับใจกว่านี้







เรื่องที่สองของดวงตะวัน มีโอกาสได้อ่านจากความเอื้อเฟื้อของน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งบนโลกไซเบอร์ ที่อุตส่าห์ส่งนิยายข้ามมาจากอีกฝากของประเทศให้ได้อ่าน

"แผ่นดินหัวใจ"...เป็นงานที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่า ดวงตะวันเป็นนักเขียนคนโปรดและตัวนิยายเองก็เป็นนิยายเล่มโปรด

เรื่องเล่าถึงโมฬี หรือแตงโม พัฒนากรสาวจบใหม่ไฟแรง และ กำนันหนุ่มร่างใหญ่ หน้าดุแต่ชื่อน่ารักไม่สมตัว กำนันไก่โต้งแห่งตำบลบางส้มเปรี้ยว กับการต่อสู้ การเผชิญหน้ากับปัญหาสารพันที่รุมเร้ากันเข้ามาในอำเภอเล็กๆ ในที่ราบลุ่มภาคกลางที่ห่างจากกรุงเทพฯไม่กี่ชั่วโมงแห่งนี้

ดวงตะวันหาข้อมูลและถ่ายทอดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาที่เหล่าชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวต้องเผชิญได้อย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นการที่เศรษฐกิจในเมืองกรุงล่มจนเกิดปัญหาแรงงานไหลกลับคืนถิ่น ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่น ปัญหาเรื่องระบบราชการไทย ปัญหาเรื่องการเกษตร ปัญหาเรื่องความฟุ้งเฟ้อของระบบทุนนิยมที่ลุกลามมาจนถึงตำบลเล็กๆแห่งนี้ (ความจริงไม่แน่ใจว่าบางส้มเปรี้ยวมีขนาดแค่ไหน แต่ดูเอาจากความสัมพันธ์ของชาวบ้าน คิดว่าเองคงไม่ใหญ่มาก)

สำหรับตัวโมฬีนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างติดดิน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็น "คุณหนู"
ประเภทพ่อเป็นอดีตอธิบดีกรมเพิ่งเกษียณ แม่ก็ออกแนวคุณนายไฮโซ แต่โชคดีที่ทั้งสองเป็นคนดีมีคุณธรรมแล้วก็ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง โมฬีถึงไม่ได้เติบโตมาแบบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

งานนี้นางเอกของเราเรียกว่า พกพาความฝันและอุดมการณ์มาเต็มกระเป๋า
แต่ก็นั่นแหละ คุณหนูที่นั่งจินตนาการภาพความเป็น "ชนบท" อยู่ในห้องเรียนติดแอร์ในเมืองหลวงที่แสนสะดวกสบายพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง พอต้องมาเจอสภาพและปัญหาของแท้ ก็เล่นเอาสติกระเจิงไปหลายหน

ยิ่งมาเจออีตากำนันขาใหญ่เจ้าถิ่น ที่ไม่ว่าเธอจะหยิบจะจับโครงการอะไร อีตานี่ก็ต้อง "เคยคิดไว้แล้ว, เริ่มๆไว้แล้ว" ไปเสียทุกที ความหมั่นไส้ไม่กินเส้นแค่ได้ยินชื่อก็เหม็นขี้หน้าเลยตามมาอย่างช่วยไม่ได้

พ่อพระเอกก็ร้ายไม่เบา ตามมาดูตัวและลองเชิงคุณพัฒนากรคนใหม่ถึงอำเภอเลยทีเดียว!

ยกแรก...พระเอกปล่อยไปหนึ่งหมัด เล่นเอานางเอกหน้าเกือบหงาย

"แต่นาข้าวที่รอปุ๋ยกับปัญหาปากท้องของชาวบ้านน่ะ มันไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการหรอกนะ"

ชอบมากกับประโยคนี้ รู้สึกสะใจลึกๆ คนทำงานราชการเช้าชามเย็นชามบ้านเรามาอ่านเข้าคงสะอึกกันเป็นแถว (มั๊ย? มั๊ง...)

พอสองคนเริ่มทำความรู้จักกัน เริ่มทำงานร่วมกัน ก็เห็นถึงเนื้อทองของกันและกันตามระเบียบ ความรักจึงก่อกำเนิดขึ้น ก็นิยายเขาเป็นนิยายรักนี่นา ยิ่งทั้งสองมีสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี ยิ่งเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน บวกกับความตั้งใจอันแน่วแน่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวมาเป็นตัวผลักดัน ความผูกพันของสองคนก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น

แต่...ถ้าสองคนรักกันแล้วจบ นิยายเรื่องนี้คงบางกว่าหนังสือขายหัวเราะ

พระนางช่วยกันแก้ไขปัญหาของบางส้มเปรี้ยวไปทีละอย่าง จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่อง แต่ปัญหาหนักที่มีอยู่และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ คือ คำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เทวดาที่ต้องอาศัยปุ๋ยเคมีราคาแพงเพื่อให้มันเจริญงอกงาม ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนกันแสนสาหัส ที่สำคัญคำสั่งนั้นมันมีเลศนัยและจับมือใครดมไม่ได้เสียด้วย!

ตัวร้ายของเรื่องนี้ เรียกว่าเป็นตัวร้ายที่มีตัวตนจริงในสังคมเบี้ยวๆของเรานี่แหละ หาได้ง่าย มีทั่วไปกลาดเกลื่อนยิ่งกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแถวคลองรังสิตเสียอีก

อะไรจะทำให้คน "ร้าย" ได้อย่างสุดแสน ยิ่งกว่า... ความโลภ ...อีกล่ะ
ก็ความโลภน่ะ มันไม่มีเหตุผล ไม่เลือกเวลา ไม่มีที่มาที่ไป และไม่มีคำว่า 'พอ'

ขณะที่ปัญหาทั้งหลายแหล่ก็ยังคงรุมเร้าอำเภอเล็กๆแห่งนี้ พ่อกำนันกับคุณพัฒนากรก็ปากหนัก ไม่มีใครเผยความในใจของตัวเอง ได้แต่มองตากันไปมา เก็บงำความรู้สึกไว้ข้างใน ได้แต่คิดว่าอีกฝ่าย 'มองตา..ก็น่าจะรู้ใจ'

แต่พ่อพระเอกก็ยังมีปัญหาส่วนตัวเรื่องน้องชายตัวเองเข้ามาอีก อารมณ์กำลังเสียอยากให้สาวเจ้าปลอบใจ พอไปเจอภาพบาดตาว่าสาวไปกินข้าวกับไอ้หนุ่มอื่นก็เลยเบรกแตก ไปเหวี่ยงใส่คุณนางเอกเข้าให้

คนเราถ้าคุยกับด้วยอารมณ์ ทุกอย่างก็จอดไม่ต้องแจว!

แต่อันนี้ต้องขอตำหนินางเอกอย่างรุนแรง เพราะก่อนที่จะมาโดนพ่อกำนันท่านวีนใส่ นางเอกไปพบเจอหลักฐานที่จะเอาผิดเจ้าของคำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เจ้าปัญหาแล้ว แต่พอถึงคราวหน้ามืด โกรธ น้อยใจพระเอกจัด ก็หนีกลับเข้ากรุงเทพฯไปสงบสติอารมณ์ซะงั้น ไม่ได้แยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานเอาเสียเลย งานนี้ภาพคนมีเหตุผลของนางเอกเลยพังไม่มีชิ้นดี

กว่าทุกอย่างจะลงตัว ปัญหาได้รับการแก้ไข คนชั่วได้รับกรรมที่ก่อ ก็เล่นเอาพ่อกำนันไก่โต้งเหงื่อตก เพราะต้องวิ่งเข้ากรุงเพื่อง้อนางเอกถึงสองหน

นิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้ตามสไตล์ดวงตะวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนอ่านนิยมสุขนาฏกรรมอย่างเรา
สิ่งที่ชอบมากๆคือ บุคลิกของกำนันไก่โต้ง เป็นผู้ชายอบอุ่นมากกกกกก น่ารักก็ได้ จริงใจเป็นที่หนึ่ง พอถึงคราวจะเข้มก็เข้มได้ใจ ผู้ชายแบบนี้เรียกว่าเป็น ชายในฝัน เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเพอร์เฟคไปทุกอย่าง เพราะบางคราวก็งี่เง่าได้สุดๆเหมือนกัน แต่ยกประโยชน์ให้ เพราะแทบนับครั้งได้
บุคลิกของนางเอกก็ชอบ น่ารักดี ไม่ได้มีแค่อุดมการณ์ยังมีสมองด้วย แต่เป็นนางเอกนิยายไทยต้องงี่เง่าหน่อยๆ ไม่อย่างนั้นนิยายจบเร็วเกิน ไม่มีเรื่องให้ลุ้น

ที่ขัดใจมากๆมีกับนางเอกมีแค่สองตอน
เรื่องแรกคือ ตอนที่งอนจนลืมตัว ลืมหน้าที่ ลืมทุกอย่าง แล้วก็หนีกลับบ้านทั้งที่ไปเจอกับหลักฐานสำคัญเข้าแล้ว
กับอีกตอนที่ นางเอกซึ่งเอารถพระเอกมาขับแล้วโดนลอบยิง ถึงจะเป็นแค่การยิ่งขู่ก็เถอะ เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ แทนที่จะรีบบอกกล่าวกัน แต่เธอกลับไปเก็บเงียบไว้ได้อีกตั้งสามสี่วัน มันดูแปลกๆขัดๆกับความเป็นจริงไปหน่อย

แต่นางเอกมาแก้ตัวได้นิดหน่อยตอนใกล้จบ ที่ถึงจะเข้าใจผิด จะโกรธจะงอนแค่ไหน ก็ยังมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จก่อน (แล้วค่อยไปงอน)

นอกนั้นก็ถือว่าประทับใจมากๆกับนิยายเรื่องนี้ ทั้งการผูกเรื่อง สำนวนการเขียน สมกับเป็นดวงตะวัน


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนงานของดวงตะวันที่เคยได้สัมผัสมาทั้งหมดในบลอคนี้ แต่เขียนแล้วมันส์มือ หยุดไม่อยู่ เขียนอยู่หลายวันได้แค่สองเรื่อง กลัวว่ากว่าจะเขียนครบบลอคนี้คงยาวไปถึงสุไหงโกลก เลยตัดสินใจว่าหยุดภาคแรกเอาไว้ตรงนี้ดีกว่า

พบกันใหม่ภาคสอง!!!

Nature of Human

จำไม่ได้แล้วว่าเริ่มรู้จัก พันทิปดอทคอม ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เลาๆว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าหกปี เป็นสมาชิกรุ่นเก๋ากึ๊กสมัยที่ยังสมัครกันง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมากมายอย่างเช่นเดี๋ยวนี้

แต่กาลผ่าน เวลาเปลี่ยน สังคมพันทิปขยายตัวมากขึ้น และอย่างที่โบราณว่า "คนเยอะ เรื่องก็แยะ" พันทิปต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับการกระทำของคนที่เป็นสมาชิกมากมายหลายครั้ง

กฏระเบียบที่เคยวางไว้หลวมๆก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้รัดกุมยิ่งขึ้น และหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเงื่อนไขการสมัครสมาชิก

หลักฐานข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหลายจึงถูกเรียกเก็บจากเจ้าหน้าที่เวบฯ เพื่อเอาไว้ใช้เมื่อเกิดกรณีพิพาทใดๆก็ตาม เรียกว่า จะมาทำตัวเป็นเสือซุ่มในพันทิป แล้วทำอะไรตามใจฉันอย่างเดิมไม่ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องรู้ไว้ว่า หากมีเรื่อง ตัวตนจะถูกค้นขึ้นมาได้ไม่ยาก

สมาชิกใหม่ก่อนสมัครต้องยื่นหลักฐาน ส่วนรุ่นอมยิ้มปากหุบก็ต้องส่งข้อมูลไปอัพเดท...แต่...คนอยู่ไกลบ้าน จะเอาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนที่ไหนส่งไป จะให้คนที่บ้านทำให้ก็รู้สึกว่าเป็นการวุ่นวายกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สมาชิกภาพจึงถูกระงับใช้ไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้

จนกระทั่งได้มีโอกาสหยิบยืมอมยิ้มของอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมาใช้ จึงทำให้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นอยู่ในพันทิปได้อีกครั้ง

สามสี่ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่า แทบไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เข้าพันทิป เพราะพันทิปเปรียบเหมือนสายใยที่สามารถพากลับเข้าไปสู่บรรยากาศไทยๆแบบที่คุ้นเคย

พันทิปไม่ได้เป็นแค่เวบบอร์ด แค่เวบไซต์ แต่กลายมาเป็น "เพื่อน"

เบื่อ ก็เข้า...เฉลิมไทย...หาข้อมูลหนังละคร
เซ็ง ก็เข้า...ห้องสมุด ถนนนักเขียน...หานิยายดีดีอ่าน
หิว ก็เข้า...อาหารการกิน จนกระทั่งแยกออกมาเป็นก้นครัว...หาเมนูน่าสน

เข้าพันทิปอยู่ไม่กี่โต๊ะ จำนวนกระทู้ที่โพสต์แทบจะนับนิ้วได้ แต่ก็เห็นและเรียนรู้อะไรได้มากพอควร

พันทิปก็เหมือนสังคมจริง มีคน มีเรื่องราว มีสถานที่ คนอยู่รวมกัน เกิดก๊ก เกิดเหล่า เกิดพวก การกระทบกระทั่งนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ เวลาเข้าไปมุงดูกระทู้ในตำนานทั้งหลาย น้อยครั้งที่จะฝากความคิดเห็นไว้ เพราะหากเป็นความคิดเห็นที่มีผู้อื่นโพสต์ไว้แล้ว ก็ไม่รู้จะไปพูดซ้ำทำไม หรือหากไม่เห็นด้วยกับคนหมู่มากในหัวข้อก็ขี้เกียจจะไปสวนกระแส

เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นในโต๊ะก้นครัว ไม่ใช่เรื่องแรกและคงจะไม่ได้เป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในพันทิป

ธรรมชาติของคน ถึงแม้จะบอกว่า "เป็นกลาง" หากในใจก็คงเลือกฝ่ายไว้บ้างแล้ว เอียงมาก เอียงน้อย ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและวิจารณญาณ

ในเมื่อมี ฝ่าย ก็ย่อมมี พวก ความคิดเห็นที่แสดงออกก็ไปในทางที่จะสนับสนุน ฝ่ายและพวกของตน ไม่แปลกและพบเห็นได้ทั่วไป

โดยส่วนตัวได้เฝ้าอ่านทุกกระทู้ ทุกความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มต้น ก็พอจะมองภาพได้ชัด

หากเรื่องมันจะเกิดเพราะคนสองฝ่าย ที่
ฝ่ายหนึ่ง...เป็นผู้ทำประโยชน์สูงในแก่ชุมชน มีคุณงามความดีติดตัวมากมาย แต่เผลอพลั้งทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
อีกฝ่าย...เป็นเจ้าของบ้าน เป็นผู้ดูแลกฏระเบียบ ที่มีวิจารณญาณ มีความเป็นธรรม

ก็ต้องบอกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย

แต่ที่กระทู้ยาวนับหลายร้อยความคิดเห็น เพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ มันเกิดจาก คนฝ่ายที่สาม ที่สี่
ฝ่ายหนึ่ง...เข้าข้างคนดี
อีกฝ่าย...เห็นใจเจ้าของบ้าน

เหตุการณ์บานปลายถึงขนาดลากเอาเรื่องเงิน สปอนเซอร์ และผลประโยชน์เข้ามาเป็นประเด็น หลายคนโกรธเคือง ก่นด่าและไม่พอใจ บางคนถึงขนาด "ทวงบุญคุณ" เอากับพันทิป ค่าที่ "อุตส่าห์" มาเล่นเวบฯเลยทีเดียว

ถ้าจะถามมางานนี้ใครผิด คงจะต้องตอบว่า "โทสะและอารมณ์ชั่ววูบ" ที่ผิด
แต่ละฝ่ายมีเหตุผล เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ต่างกัน และยืนกันอยู่คนละมุม การทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระแทกแดกดัน และการตีความคงจะไม่เกิดขึ้น หากผู้ส่งสาร ผู้รับสารมิได้อยู่ในอารมณ์โกรธและมองเพียงมุมของตน

แต่ก็อย่างว่า ไม่มีคนสองคนที่มองเห็นอะไรในมุมเดียวกัน แม้สองคนนั้นจะยืนขี่คอกันอยู่ก็ตาม!

สุดท้าย...ขอแสดงความเห็นใจและชื่นชมแด่พันทิป คุณครูออนไลน์คนที่สอง (รองจากคุณครูกูเกิ้ล)

ปล. (แม้ว่าอาจจะไม่มีใครมาค้นพบบลอคนี้) ที่ลุกขึ้นมาเขียน entry นี้ มิได้ต้องการฝื้นฝอยหากตะเข็บหรือกวนน้ำให้ขุ่น เพียงแต่ต้องการบันทึกไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในวันที่มองจากมุมนอก หากวันใดเกิดเหตุขึ้นกับตัว อาจจะนำมาสอนใจได้ไม่มากก็น้อย

Tuesday, November 20, 2007

สูตรเสน่หา - ค่าของหัวใจ (กิ่งฉัตร)


ฝันอยากจะมีบลอคเพื่อเขียนถึงหนังสือที่ได้อ่านมาสักระยะแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเขียนเสียที นี่ไม่ใช่บลอควิจารณ์หนังสือ ทุกอย่างที่จะเขียนแค่มาจากความรู้สึกที่มีต่อหนังสือนั้น ผู้เขียนมิได้มีความรู้ความสามารถทางภาษาดีเลิศ เขียนนิยายก็ไม่เป็น และไม่อาจหาญกล้าไปฟันธงว่านิยายนั้น "ดีหรือไม่" อย่างไร รู้เพียงแต่ว่า "ชอบหรือเปล่า" ก็เท่านั้น


โดยส่วนตัวได้อ่านนิยายคุณกิ่งฉัตรมานาน บางเรื่องไม่รู้หรอกว่าคุณกิ่งฉัตรเขียน เพราะสมัยก่อนเวลาอ่านนิยายไม่ค่อยได้สนใจชื่อผู้แต่งสักเท่าไหร่ เรื่องไหนมีอยู่ในบ้านก็เลียบๆเคียงๆถามแม่ว่าสนุกไหม แล้วก็เอามาอ่าน บางเรื่องก็ดูเอาจากละคร อ่านเอาจากเรื่องย่อเล่มละ 25 บาท แต่วันหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสไปเห็นรายชื่อนิยายทั้งหมดของคุณกิ่งฉัตรแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะแทบจะทั้งหมดที่เคยอ่าน เคยดูละคร และเป็นนิยายคุณกิ่งฉัตรเขียน เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในจำพวก "ชอบ" ถึง "ชอบมาก" แทบจะทั้งหมด จากวันนั้นชื่อ "กิ่งฉัตร" จึงถูกจัดเอาไว้เป็นลำดับต้นๆของการตัดสินใจเลือกซื้อนิยาย เพราะค่อนข้างจะเชื่อขนมกินได้ว่านิยายเล่มนั้นคงจะทำให้ชอบได้ไม่ยาก


จุดเด่นของนิยายของกิ่งฉัตรนั้นอยู่ที่การใช้ภาษาที่สละสลวย อ่านแล้วไม่ติดขัด ไม่เคยคิ้วขมวดเลยว่าทำไมเลือกใช้คำนั้นคำนี้ เนื้อหา พล็อตเรื่องก็มีจุดเด่น น่าชื่นชมด้วยที่ทุกเรื่อง ย้ำว่าทุกเรื่อง คนอ่านจะได้ "สาระ" ออกมาจากตัวหนังสือเหล่านั้น ไม่มากก็น้อย (ซึ่งส่วนตัวคิดว่าขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของผู้อ่านเป็นสำคัญ)


ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เลือกเอา "สูตรเสน่หา และ ค่าของหัวใจ" ขึ้นมาเขียนถึงในบลอคแรก



**หมายเหตุ บลอคนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนังสือ**



๑. สูตรเสน่หา (เสียดายหารูปประกอบที่เป็นปกเก่าไม่ได้ เพราะครอบครองปกนั้นอยู่)


เรื่องเล่าของ "อลิน" ดาราสาวเจ้าเสน่ห์ ที่ออกจะมั่นอกมั่นใจในความแสนสวยแสนดีและร่ำรวยของตัวเองมากๆ


และเพราะความมั่นใจนี้ทำให้อลินมีลักษณะนิสัยที่...ทั้งน่าหมั่นไส้ น่าเบื่อและบางครั้งก็ค่อนข้างน่าเกลียดน่าชัง...แต่คนอ่านก็เกลียดไม่ลง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความที่อลินนั้นจริงใจในความรู้สึกของตัวเองมากๆ และเพราะเจ้าหล่อนรู้สึกว่าตัวเองแสนสวยแสนดีแบบ "ไม่ต้องมีคำบรรยาย" เหนือใคร เลยทำให้การแสดงออกต่อคนอื่นๆเป็นอย่างที่เห็น

อ่านแล้วก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งร้ายทั้งขำแบบน่ารักน่าตีเสียจริง


และเมื่อดาราสาวโคจรมาพบกับครูสอนทำอาหารตัวดำหน้าเข้มที่หล่อนเห็นว่าไม่มีอะไรเหมาะสมกับหล่อนเลยสักนิด แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่ออลินยังต้องอาศัย "ครูกุ๊ก" ให้เป็นผู้ช่วยในการพิชิตหัวใจของเจ้าชายในฝันที่อลินแสนจะคู่ควร


แต่นางเอกก็ยังคงเป็นนางเอกวันยันค่ำ ถึงอลินจะบ้า (บ้าหลงตัวเอง) แต่ใช่ว่าจะโง่ ในที่สุดสาวเจ้าก็เรียนรู้ว่า "ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง" และ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" นั้นเป็นอย่างไร เรื่องราวจึงจบลงอย่างมีความสุขแบบแสบๆคันๆให้คนอ่านได้สะใจกันไม่น้อย


"ถ้าคุณรักคนคนนั้นเพราะเขาสมบูรณ์แบบ พอเขามีข้อบกพร่องหรือไม่ได้พร้อมอย่างที่คุณวาดภาพไว้ ความรักก็จืดจางโดยง่าย....

แต่ถ้าเพราะคุณรักเขา เขาถึงสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีข้อเสียในสายตาคนอื่นมากมาย หากสำหรับคุณ เขาจะยังสมบูรณ์แบบเสมอ ยากที่จะเลิกรัก ยากที่จะตัดใจ และความรักไม่จืดจางไปง่ายๆ" -- คำโปรยจากปกหลังนิยาย



อย่างนี้จะเรียกว่าเข้าข่ายความรักทำให้คนตาบอดหรือเปล่านะ ^__^




๒. ค่าของหัวใจ


เรื่องราวต่อเนื่องจากสูตรเสน่หา ที่งานนี้อลินได้กลายมาเป็นคุณนายอลินของครูกุ๊กไปเสียแล้ว





ค่าของหัวใจ..เล่าเรื่องความรักของ ปฏิคม หรือ นายตัวเปี๊ยก ทนายหนุ่มประจำตัวอลิน (จะเรียกให้ถูกคงต้องเป็น เบ๊+กระโถนประจำตัวมากกว่า) คนที่คอยช่วยเหลือ รับใช้ และถูกโขกสับโดยอลินตลอดทั้งเรื่องสูตรเสน่หานั่นแหละ



ค่าของหัวใจให้ความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่อ่านสูตรเสน่หา นั่นคือ ให้ดูคุณค่าของคนจากภายในหัวใจของเขา เพราะคนที่ภายนอกสวยหรู งดงามนั้น ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เห็นเสมอไป แต่เรื่องนี้เพิ่มเอาค่านิยมที่มีต่อ "หญิงม่าย" ในสังคมไทยเข้ามาด้วย


นางเอกเป็นแม่ม่ายแถมมีเรือพ่วงมาอีกหนึ่งก็จริง แต่เจ้าของบลอคกลับรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ "สมบูรณ์แบบ" ที่สุดในเรื่องนี้มากกว่า


ไม่ใช่สมบูรณ์แบบเพราะคนเป็นนางเอกต้องสวย ต้องรวย ต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องมิเคยต้องมือชาย แต่เพราะความรู้สึกนึกคิด การยอมรับความจริง และการวางตัวของพรธาดาหรือนุ่น นางเอกของเรื่องนั้น ใกล้เคียงกับการเป็นคนในอุดมคติเป็นอย่างสูง

หลายครั้งที่ได้เห็นคำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "นุ่นเข้าใจ" กับเหตุการณ์ที่ถ้าเกิดกับเจ้าของบลอคซึ่งยังมีความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบอยู่สูงลิ่ว คงได้มีเละกันไปข้างหนึ่ง แต่นางเอกก็ยังสงบนิ่งอยู่ได้

ข้อสังเกต: แอบสงสัยนะว่า ที่เขียนให้นางเอกดีจนเรียบแปล้ขนาดนี้ จะเป็นเพราะชื่อของนางเอกนั้นเอามาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆในสังคมหรือเปล่า เพราะตอนแรกนางเอกเรื่องนี้ไม่ได้ชื่อ พรธาดา แต่เปลี่ยนตามชื่อของแฟนพันธุ์แท้นวนิยายไทย พอเอาชื่อเค้ามาเป็นชื่อตัวละคร เลยออกแนวเกรงใจ ไม่กล้าเขียนให้มีปัญหามากหรือเปล่า....แต่อย่างว่า นี่เป็นแค่การเดาของคนอ่านล้วนๆนะจ๊ะ

ในคำนำนั้น คุณกิ่งฉัตรได้ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า นางเอกเป็นม่ายและมีลูกติด แต่นี่อาจจะเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยของนิยายที่นางเอกของเรื่องมีปมด้อยอย่างนี้ (หลังหลุดจากยุคของนางเอกเรียบร้อยแสนดีไร้รอยด่างพร้อย - ดังเช่นที่อลินถามพรธาดาเป็นอย่างแรกว่าน้องไม้ใช่ลูกของหล่อนจริงๆหรือไม่ สมัยหนึ่งนิยายแทบทุกเรื่องหากนางเอกมีลูก ก็ต้องเป็นลูกของพี่ชาย พี่สาวทั้งนั้น) จึงทำให้คนเขียนไม่ลงแส้คนอ่านหนักนัก ด้วยการวางปมการเป็นม่ายของนางเอกได้สุดแสนจะสะอาดบริสุทธิ์ เราจึงได้เห็นนางเอกที่แต่งงานด้วยความรักอย่างถูกต้องตามประเพณี สามีของนางเอกก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าเห็นใจ แต่อยากจะทำนาย (แบบไม่กลัวหน้าแตก) เหลือเกินว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นนางเอกที่เป็นม่ายในรูปแบบที่น่ารังเกียจกว่านี้หลายเท่าก็เป็นได้


เพราะความเป็นคนสมบูรณ์แบบของนางเอก และความแสนดีของพระเอกนี่เอง ทำให้รัศมีของตัวละครสองตัวนี้ถูกกลบโดยเรื่องราวของคนอื่นๆในเรื่องจนแทบจะหมด



ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ประสบชัย-รติมา" ซึ่งตัวละครแบบรติมานี่แหละที่เจ้าของบลอคคาดว่าจะเป็นนางเอกในเรื่องต่อๆไปของกิ่งฉัตร

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือคู่ของ...


"นายประกอบกับกันตา" คนอ่านบางคนอาจจะบอกว่า กิ่งฉัตรฝีมือตกที่ไม่สามารถคุมโทนของเรื่องให้จุดเด่นอยู่ที่พระนางของเรื่องได้ แต่เจ้าของบลอคกลับอดคิดไม่ได้ว่าคนเขียน "ตั้งใจ" ให้คาแรคเตอร์ เรื่องราวและอายุของตัวละครดำเนินไปแบบนี้ เพราะเมื่อมาคิดว่าลักษณะตัวละครและเรื่องราวแบบเดียวกันนี้ เราสามารถพบเจอได้ในนิยายน้ำเน่าทั่วไป ประเภทพระเอก-นางเอกไม่ถูกกัน มีเหตุให้เกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แรกพบ แล้วสุดท้ายก็มารักกัน


เหมือนๆคุณกิ่งฉัตรจะบอกว่า พล็อตแบบนี้มัน 'เก่า' แล้วก็ 'แก่' พอๆกับอายุของตัวละครทั้งสองนี้แหละ

ครั้งหนึ่งพรธาดาพูดกับปฏิคมถึงเรื่องนี้แล้วก็ว่า "คิดแล้วเหมือนนิยายน้ำเน่าเลยนะคะ พระเอกเอาตัวนางเอกไปเพราะแค้นที่ปากมากนัก....." เห็นไหมว่า คนเขียนตั้งใจ


แต่แฟนคลับอลินอย่างเจ้าของบลอคกลับไม่ค่อยชอบใจบทบาทของเจ้าหล่อนในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ เพราะแต่ละฉากที่ออกมานั้นแย่งซีนคนอื่นได้หมดก็จริง แต่ออกไปในแนวน่ารำคาญมากกว่าน่ารักน่าหยิกอย่างที่เคยเป็นในสูตรเสน่หา อลินที่เคยฉลาดแกมโกงแบบซื่อๆ กลายเป็นซื่อแบบบื้อๆในหลายฉาก ซึ่งน่าเสียดาย


"มองให้เห็นค่าของคนคนนั้นจากตัวเขา จากหัวใจเขา ไม่ใช่จากรูปกายภายนอก ไม่ใช่จากเสื้อผ้าหรือข้าวของที่เขามี ไม่ใช่จากชาติกำเนิดที่เลือกไม่ได้ หรือสิ่งที่ทำพลาดพลั้งไปในอดีต แล้วคุณจะเห็นว่าผู้หญิงที่ไม่ใช่สาวโสดบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้เลวร้ายหรือด้อยค่าเลย" -- คำโปรยจากปกหลัง

Monday, November 19, 2007

Barbie as the Island Princess



I'm so fond of these Barbie movies. Of course it's Barbie, that's one thing. Beyond that I found the above-expectation animations and amazing pictures so wonderful. I just finished watching the newest Barbie fairytale "Barbie as the Island Princess" and it, just like it's freinds, didn't let me down.


Actually it has become one of my most favorite Barbie movies - besides from Barbie as the Princess and the Pauper. I love it when they combine such a musical sense into Barbie world. The main theme song called "I need to know" which I've been listening to who knows how many times. Sound strange but true, it has inspired me to get my own blog.


The story tells us about Barbie as a shipwrecked girl - Ro - whose fate brought her to an island in the south sea. There she made a family, not of humans but animals. Sagi - the red panda, Tika - the elephant, and Azul - the peacock, well prince of peacock as he always claimed, were her family. Of course when you have animals as your family, you can 'talk' to animals.




We can say that Ro is a female version of Tarzan, only there's no gorilla in that island! Anyhow, Ro grew up with no memories of her past. But deep down in her heart, she always wanted to know who she was.


One day, a prince named Antonio came to the island. He immediately fell in love with Ro, in fact, after she had rescued him from her fellow crocodiles. The prince took Ro - along with her family - to his kingdom and that's where Ro's journey of finding herself began.


Just like Tarzan, Ro found it hard to live in a 'civilized' land, especially, when there's people like Queen Ariana on that land! Ariana wanted to revenge King Peter, the prince's father, and poor Ro was the only one who can ruin her evil plan. I'm not going to spoil it all out in this blog, but I guess that's enough get the picture how the story goes, right?


Anyway, Barbie movies are for little girls. For sure they all have a happy ending and I don't have anything to complain about it. I love it when they do that, life has more than enough sadness. However, I found the idea of turning Ro into Princess Rosella in the end is quite unnecessary. It could be better if Ro would still be just Ro - an ordinary girl who lost all her family in a shipwreck, and the King could accept and allow her to marry the prince. Then we can say "It doesn't matter who you are, but what you do does!!!"


Well, like I said, it's a fairytale for little girl and it might be the best this way.

I'd like to end this entry with a part of lyrics from the main theme song "I need to know", which I couldn't stop listening at this moment.
"I need to know these answers,I need to find my way. Seize my tomorrow,Learn my yesterday...I need to take these chances, Let all my feelings show. Can't tell what's waiting. Still I need to go. I need to know..."


Start out a memory

I once wrote a diary
To keep all the memories that pass through my path
One day, that diary vanished into a thin air
I was so disappointed,
Then I stopped writing...

I'm not so sure why I need to have a diary again
I'm not so sure why it has to be today
But I'll take my chance,
To start writing...

I don't know if I can keep this blog long enough
I don't know if I can update it often
All I know, I need to start it out
Today is the day

"
I need to know these answers,
I need to find my way
Seize my tomorrow,
Learn my yesterday...

I need to take these chances,
Let all my feelings show
Can't tell what's waiting
Still I need to go
I need to know
"

I need to know -- O.S.T Barbie as the Island Princess