Saturday, November 24, 2007

Happy Black Friday

The day starts @ Thu 8.45pm and ends @ Fri 9.30 pm

Black Friday mania!!!
Last Thanks Giving here (Hopefully)

Snowfall at Grove city outlet and it's freezing cold but people still shop like crazy.

Everything is quite expensive this year.
Could it be that we're here for too long and shop too much till we know what the price should be?

The Guitar Hero and Dance Dance Revolution (DDR) game are so tempting!
Anyway, I'm quite short so...end of story :(

Why can't I sleep at night lately? Am I getting insomnia????
Hrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr...

Wednesday, November 21, 2007

จากแก้วตาหวานใจถึงผีเสื้อลายตะวัน (ดวงตะวัน) ภาคหนึ่ง

นาทีนี้หากมองไปที่ชั้นหนังสือของตัวเองก็คงจะบอกได้ไม่ยากเย็นนักว่า...ดวงตะวัน...คือนักเขียนคนโปรด

ด้วยหนังสือที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนนั้น คือ นิยายของดวงตะวัน

คล้ายๆกับกิ่งฉัตร ดวงตะวันมีสำนวนการเขียนที่ไพเราะ เรียบง่ายและจับใจ อีกทั้งทุกๆเรื่องก็มีสาระมากกว่าความเป็นนิยายประโลมโลก มากกว่าความรักหญิงชาย บางเรื่องยังสอดแทรกแนวคิดเรื่องปัญหาสังคมไว้อย่างลึกซึ้งด้วย




รู้จักชื่อของดวงตะวันครั้งแรกจากนิยายเรื่อง "แก้วตาหวานใจ" ที่ติดตามเป็นตอนๆใน (คาดว่าน่าจะเป็น) นิตยสารกุลสตรี และส่งให้ชื่อของดวงตะวันขึ้นมาอยู่ในลิสต์นักเขียนที่น่าจับตามองในทันที



เรื่องราวของหวันยิหวา หรือ ไข่หวาน...ผู้หญิงแมนเกินหญิง กับ อนิล หรือ ลุงช้าง...ที่อ่อนโยนเกินชาย ที่โคจรมาพบเจอกันได้ ด้วยสายใยบางๆที่ชื่อ เด็กหญิงมดตะนอย เด็กหญิงตัวน้อยที่เป็นลูกของพี่ชายนางเอกกับน้องสาวพระเอก!!

ด้วยความที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ความผูกพันจึงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อย

เรื่องนี้นางเอกมาอาศัยอยู่กับพระเอก เพื่อภารกิจสองอย่าง คือ ตามหาหลาน กับ พิสูจน์ตัวเอง (ด้วยการประกวดเป็นพรีเซนเตอร์ของสถาบันการเงิน) โดยที่เข้าใจว่า ลุงช้างเป็นเกย์!!!

อ่านแล้วหลงรักตัวละครหลายตัว ไข่หวานก็เท่ห์ ลุงช้างก็อบอุ่น มดตะนอยก็น่ารัก แม้เรื่องราวบางอย่างจะน่าเบื่อเนื่องจากความอ้ำอึ้งของตัวละครบางตัว แต่ก็ต้องยกประโยชน์ให้ เพราะหากชัดเจนกันหมดเสียแต่แรก ก็คงไม่มีนิยายสนุกๆให้อ่าน

เสียดายที่เรื่องนี้ช่องเจ็ดได้ไป โปรดักชั่นของช่องนี้ไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงได้เห็นตัวละครในหนังสือออกมาโลดแล่นได้ประทับใจกว่านี้







เรื่องที่สองของดวงตะวัน มีโอกาสได้อ่านจากความเอื้อเฟื้อของน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งบนโลกไซเบอร์ ที่อุตส่าห์ส่งนิยายข้ามมาจากอีกฝากของประเทศให้ได้อ่าน

"แผ่นดินหัวใจ"...เป็นงานที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่า ดวงตะวันเป็นนักเขียนคนโปรดและตัวนิยายเองก็เป็นนิยายเล่มโปรด

เรื่องเล่าถึงโมฬี หรือแตงโม พัฒนากรสาวจบใหม่ไฟแรง และ กำนันหนุ่มร่างใหญ่ หน้าดุแต่ชื่อน่ารักไม่สมตัว กำนันไก่โต้งแห่งตำบลบางส้มเปรี้ยว กับการต่อสู้ การเผชิญหน้ากับปัญหาสารพันที่รุมเร้ากันเข้ามาในอำเภอเล็กๆ ในที่ราบลุ่มภาคกลางที่ห่างจากกรุงเทพฯไม่กี่ชั่วโมงแห่งนี้

ดวงตะวันหาข้อมูลและถ่ายทอดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาที่เหล่าชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวต้องเผชิญได้อย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นการที่เศรษฐกิจในเมืองกรุงล่มจนเกิดปัญหาแรงงานไหลกลับคืนถิ่น ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่น ปัญหาเรื่องระบบราชการไทย ปัญหาเรื่องการเกษตร ปัญหาเรื่องความฟุ้งเฟ้อของระบบทุนนิยมที่ลุกลามมาจนถึงตำบลเล็กๆแห่งนี้ (ความจริงไม่แน่ใจว่าบางส้มเปรี้ยวมีขนาดแค่ไหน แต่ดูเอาจากความสัมพันธ์ของชาวบ้าน คิดว่าเองคงไม่ใหญ่มาก)

สำหรับตัวโมฬีนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างติดดิน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็น "คุณหนู"
ประเภทพ่อเป็นอดีตอธิบดีกรมเพิ่งเกษียณ แม่ก็ออกแนวคุณนายไฮโซ แต่โชคดีที่ทั้งสองเป็นคนดีมีคุณธรรมแล้วก็ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง โมฬีถึงไม่ได้เติบโตมาแบบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

งานนี้นางเอกของเราเรียกว่า พกพาความฝันและอุดมการณ์มาเต็มกระเป๋า
แต่ก็นั่นแหละ คุณหนูที่นั่งจินตนาการภาพความเป็น "ชนบท" อยู่ในห้องเรียนติดแอร์ในเมืองหลวงที่แสนสะดวกสบายพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง พอต้องมาเจอสภาพและปัญหาของแท้ ก็เล่นเอาสติกระเจิงไปหลายหน

ยิ่งมาเจออีตากำนันขาใหญ่เจ้าถิ่น ที่ไม่ว่าเธอจะหยิบจะจับโครงการอะไร อีตานี่ก็ต้อง "เคยคิดไว้แล้ว, เริ่มๆไว้แล้ว" ไปเสียทุกที ความหมั่นไส้ไม่กินเส้นแค่ได้ยินชื่อก็เหม็นขี้หน้าเลยตามมาอย่างช่วยไม่ได้

พ่อพระเอกก็ร้ายไม่เบา ตามมาดูตัวและลองเชิงคุณพัฒนากรคนใหม่ถึงอำเภอเลยทีเดียว!

ยกแรก...พระเอกปล่อยไปหนึ่งหมัด เล่นเอานางเอกหน้าเกือบหงาย

"แต่นาข้าวที่รอปุ๋ยกับปัญหาปากท้องของชาวบ้านน่ะ มันไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการหรอกนะ"

ชอบมากกับประโยคนี้ รู้สึกสะใจลึกๆ คนทำงานราชการเช้าชามเย็นชามบ้านเรามาอ่านเข้าคงสะอึกกันเป็นแถว (มั๊ย? มั๊ง...)

พอสองคนเริ่มทำความรู้จักกัน เริ่มทำงานร่วมกัน ก็เห็นถึงเนื้อทองของกันและกันตามระเบียบ ความรักจึงก่อกำเนิดขึ้น ก็นิยายเขาเป็นนิยายรักนี่นา ยิ่งทั้งสองมีสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี ยิ่งเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน บวกกับความตั้งใจอันแน่วแน่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวมาเป็นตัวผลักดัน ความผูกพันของสองคนก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น

แต่...ถ้าสองคนรักกันแล้วจบ นิยายเรื่องนี้คงบางกว่าหนังสือขายหัวเราะ

พระนางช่วยกันแก้ไขปัญหาของบางส้มเปรี้ยวไปทีละอย่าง จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่อง แต่ปัญหาหนักที่มีอยู่และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ คือ คำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เทวดาที่ต้องอาศัยปุ๋ยเคมีราคาแพงเพื่อให้มันเจริญงอกงาม ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนกันแสนสาหัส ที่สำคัญคำสั่งนั้นมันมีเลศนัยและจับมือใครดมไม่ได้เสียด้วย!

ตัวร้ายของเรื่องนี้ เรียกว่าเป็นตัวร้ายที่มีตัวตนจริงในสังคมเบี้ยวๆของเรานี่แหละ หาได้ง่าย มีทั่วไปกลาดเกลื่อนยิ่งกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแถวคลองรังสิตเสียอีก

อะไรจะทำให้คน "ร้าย" ได้อย่างสุดแสน ยิ่งกว่า... ความโลภ ...อีกล่ะ
ก็ความโลภน่ะ มันไม่มีเหตุผล ไม่เลือกเวลา ไม่มีที่มาที่ไป และไม่มีคำว่า 'พอ'

ขณะที่ปัญหาทั้งหลายแหล่ก็ยังคงรุมเร้าอำเภอเล็กๆแห่งนี้ พ่อกำนันกับคุณพัฒนากรก็ปากหนัก ไม่มีใครเผยความในใจของตัวเอง ได้แต่มองตากันไปมา เก็บงำความรู้สึกไว้ข้างใน ได้แต่คิดว่าอีกฝ่าย 'มองตา..ก็น่าจะรู้ใจ'

แต่พ่อพระเอกก็ยังมีปัญหาส่วนตัวเรื่องน้องชายตัวเองเข้ามาอีก อารมณ์กำลังเสียอยากให้สาวเจ้าปลอบใจ พอไปเจอภาพบาดตาว่าสาวไปกินข้าวกับไอ้หนุ่มอื่นก็เลยเบรกแตก ไปเหวี่ยงใส่คุณนางเอกเข้าให้

คนเราถ้าคุยกับด้วยอารมณ์ ทุกอย่างก็จอดไม่ต้องแจว!

แต่อันนี้ต้องขอตำหนินางเอกอย่างรุนแรง เพราะก่อนที่จะมาโดนพ่อกำนันท่านวีนใส่ นางเอกไปพบเจอหลักฐานที่จะเอาผิดเจ้าของคำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เจ้าปัญหาแล้ว แต่พอถึงคราวหน้ามืด โกรธ น้อยใจพระเอกจัด ก็หนีกลับเข้ากรุงเทพฯไปสงบสติอารมณ์ซะงั้น ไม่ได้แยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานเอาเสียเลย งานนี้ภาพคนมีเหตุผลของนางเอกเลยพังไม่มีชิ้นดี

กว่าทุกอย่างจะลงตัว ปัญหาได้รับการแก้ไข คนชั่วได้รับกรรมที่ก่อ ก็เล่นเอาพ่อกำนันไก่โต้งเหงื่อตก เพราะต้องวิ่งเข้ากรุงเพื่อง้อนางเอกถึงสองหน

นิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้ตามสไตล์ดวงตะวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนอ่านนิยมสุขนาฏกรรมอย่างเรา
สิ่งที่ชอบมากๆคือ บุคลิกของกำนันไก่โต้ง เป็นผู้ชายอบอุ่นมากกกกกก น่ารักก็ได้ จริงใจเป็นที่หนึ่ง พอถึงคราวจะเข้มก็เข้มได้ใจ ผู้ชายแบบนี้เรียกว่าเป็น ชายในฝัน เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเพอร์เฟคไปทุกอย่าง เพราะบางคราวก็งี่เง่าได้สุดๆเหมือนกัน แต่ยกประโยชน์ให้ เพราะแทบนับครั้งได้
บุคลิกของนางเอกก็ชอบ น่ารักดี ไม่ได้มีแค่อุดมการณ์ยังมีสมองด้วย แต่เป็นนางเอกนิยายไทยต้องงี่เง่าหน่อยๆ ไม่อย่างนั้นนิยายจบเร็วเกิน ไม่มีเรื่องให้ลุ้น

ที่ขัดใจมากๆมีกับนางเอกมีแค่สองตอน
เรื่องแรกคือ ตอนที่งอนจนลืมตัว ลืมหน้าที่ ลืมทุกอย่าง แล้วก็หนีกลับบ้านทั้งที่ไปเจอกับหลักฐานสำคัญเข้าแล้ว
กับอีกตอนที่ นางเอกซึ่งเอารถพระเอกมาขับแล้วโดนลอบยิง ถึงจะเป็นแค่การยิ่งขู่ก็เถอะ เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ แทนที่จะรีบบอกกล่าวกัน แต่เธอกลับไปเก็บเงียบไว้ได้อีกตั้งสามสี่วัน มันดูแปลกๆขัดๆกับความเป็นจริงไปหน่อย

แต่นางเอกมาแก้ตัวได้นิดหน่อยตอนใกล้จบ ที่ถึงจะเข้าใจผิด จะโกรธจะงอนแค่ไหน ก็ยังมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จก่อน (แล้วค่อยไปงอน)

นอกนั้นก็ถือว่าประทับใจมากๆกับนิยายเรื่องนี้ ทั้งการผูกเรื่อง สำนวนการเขียน สมกับเป็นดวงตะวัน


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนงานของดวงตะวันที่เคยได้สัมผัสมาทั้งหมดในบลอคนี้ แต่เขียนแล้วมันส์มือ หยุดไม่อยู่ เขียนอยู่หลายวันได้แค่สองเรื่อง กลัวว่ากว่าจะเขียนครบบลอคนี้คงยาวไปถึงสุไหงโกลก เลยตัดสินใจว่าหยุดภาคแรกเอาไว้ตรงนี้ดีกว่า

พบกันใหม่ภาคสอง!!!

Nature of Human

จำไม่ได้แล้วว่าเริ่มรู้จัก พันทิปดอทคอม ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เลาๆว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าหกปี เป็นสมาชิกรุ่นเก๋ากึ๊กสมัยที่ยังสมัครกันง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองมากมายอย่างเช่นเดี๋ยวนี้

แต่กาลผ่าน เวลาเปลี่ยน สังคมพันทิปขยายตัวมากขึ้น และอย่างที่โบราณว่า "คนเยอะ เรื่องก็แยะ" พันทิปต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับการกระทำของคนที่เป็นสมาชิกมากมายหลายครั้ง

กฏระเบียบที่เคยวางไว้หลวมๆก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้รัดกุมยิ่งขึ้น และหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเงื่อนไขการสมัครสมาชิก

หลักฐานข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหลายจึงถูกเรียกเก็บจากเจ้าหน้าที่เวบฯ เพื่อเอาไว้ใช้เมื่อเกิดกรณีพิพาทใดๆก็ตาม เรียกว่า จะมาทำตัวเป็นเสือซุ่มในพันทิป แล้วทำอะไรตามใจฉันอย่างเดิมไม่ได้ อย่างน้อยๆก็ต้องรู้ไว้ว่า หากมีเรื่อง ตัวตนจะถูกค้นขึ้นมาได้ไม่ยาก

สมาชิกใหม่ก่อนสมัครต้องยื่นหลักฐาน ส่วนรุ่นอมยิ้มปากหุบก็ต้องส่งข้อมูลไปอัพเดท...แต่...คนอยู่ไกลบ้าน จะเอาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนที่ไหนส่งไป จะให้คนที่บ้านทำให้ก็รู้สึกว่าเป็นการวุ่นวายกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สมาชิกภาพจึงถูกระงับใช้ไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้

จนกระทั่งได้มีโอกาสหยิบยืมอมยิ้มของอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมาใช้ จึงทำให้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นอยู่ในพันทิปได้อีกครั้ง

สามสี่ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่า แทบไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เข้าพันทิป เพราะพันทิปเปรียบเหมือนสายใยที่สามารถพากลับเข้าไปสู่บรรยากาศไทยๆแบบที่คุ้นเคย

พันทิปไม่ได้เป็นแค่เวบบอร์ด แค่เวบไซต์ แต่กลายมาเป็น "เพื่อน"

เบื่อ ก็เข้า...เฉลิมไทย...หาข้อมูลหนังละคร
เซ็ง ก็เข้า...ห้องสมุด ถนนนักเขียน...หานิยายดีดีอ่าน
หิว ก็เข้า...อาหารการกิน จนกระทั่งแยกออกมาเป็นก้นครัว...หาเมนูน่าสน

เข้าพันทิปอยู่ไม่กี่โต๊ะ จำนวนกระทู้ที่โพสต์แทบจะนับนิ้วได้ แต่ก็เห็นและเรียนรู้อะไรได้มากพอควร

พันทิปก็เหมือนสังคมจริง มีคน มีเรื่องราว มีสถานที่ คนอยู่รวมกัน เกิดก๊ก เกิดเหล่า เกิดพวก การกระทบกระทั่งนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ เวลาเข้าไปมุงดูกระทู้ในตำนานทั้งหลาย น้อยครั้งที่จะฝากความคิดเห็นไว้ เพราะหากเป็นความคิดเห็นที่มีผู้อื่นโพสต์ไว้แล้ว ก็ไม่รู้จะไปพูดซ้ำทำไม หรือหากไม่เห็นด้วยกับคนหมู่มากในหัวข้อก็ขี้เกียจจะไปสวนกระแส

เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นในโต๊ะก้นครัว ไม่ใช่เรื่องแรกและคงจะไม่ได้เป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในพันทิป

ธรรมชาติของคน ถึงแม้จะบอกว่า "เป็นกลาง" หากในใจก็คงเลือกฝ่ายไว้บ้างแล้ว เอียงมาก เอียงน้อย ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและวิจารณญาณ

ในเมื่อมี ฝ่าย ก็ย่อมมี พวก ความคิดเห็นที่แสดงออกก็ไปในทางที่จะสนับสนุน ฝ่ายและพวกของตน ไม่แปลกและพบเห็นได้ทั่วไป

โดยส่วนตัวได้เฝ้าอ่านทุกกระทู้ ทุกความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มต้น ก็พอจะมองภาพได้ชัด

หากเรื่องมันจะเกิดเพราะคนสองฝ่าย ที่
ฝ่ายหนึ่ง...เป็นผู้ทำประโยชน์สูงในแก่ชุมชน มีคุณงามความดีติดตัวมากมาย แต่เผลอพลั้งทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
อีกฝ่าย...เป็นเจ้าของบ้าน เป็นผู้ดูแลกฏระเบียบ ที่มีวิจารณญาณ มีความเป็นธรรม

ก็ต้องบอกว่า เข้าใจทั้งสองฝ่าย

แต่ที่กระทู้ยาวนับหลายร้อยความคิดเห็น เพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ มันเกิดจาก คนฝ่ายที่สาม ที่สี่
ฝ่ายหนึ่ง...เข้าข้างคนดี
อีกฝ่าย...เห็นใจเจ้าของบ้าน

เหตุการณ์บานปลายถึงขนาดลากเอาเรื่องเงิน สปอนเซอร์ และผลประโยชน์เข้ามาเป็นประเด็น หลายคนโกรธเคือง ก่นด่าและไม่พอใจ บางคนถึงขนาด "ทวงบุญคุณ" เอากับพันทิป ค่าที่ "อุตส่าห์" มาเล่นเวบฯเลยทีเดียว

ถ้าจะถามมางานนี้ใครผิด คงจะต้องตอบว่า "โทสะและอารมณ์ชั่ววูบ" ที่ผิด
แต่ละฝ่ายมีเหตุผล เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ต่างกัน และยืนกันอยู่คนละมุม การทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระแทกแดกดัน และการตีความคงจะไม่เกิดขึ้น หากผู้ส่งสาร ผู้รับสารมิได้อยู่ในอารมณ์โกรธและมองเพียงมุมของตน

แต่ก็อย่างว่า ไม่มีคนสองคนที่มองเห็นอะไรในมุมเดียวกัน แม้สองคนนั้นจะยืนขี่คอกันอยู่ก็ตาม!

สุดท้าย...ขอแสดงความเห็นใจและชื่นชมแด่พันทิป คุณครูออนไลน์คนที่สอง (รองจากคุณครูกูเกิ้ล)

ปล. (แม้ว่าอาจจะไม่มีใครมาค้นพบบลอคนี้) ที่ลุกขึ้นมาเขียน entry นี้ มิได้ต้องการฝื้นฝอยหากตะเข็บหรือกวนน้ำให้ขุ่น เพียงแต่ต้องการบันทึกไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในวันที่มองจากมุมนอก หากวันใดเกิดเหตุขึ้นกับตัว อาจจะนำมาสอนใจได้ไม่มากก็น้อย

Tuesday, November 20, 2007

สูตรเสน่หา - ค่าของหัวใจ (กิ่งฉัตร)


ฝันอยากจะมีบลอคเพื่อเขียนถึงหนังสือที่ได้อ่านมาสักระยะแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเขียนเสียที นี่ไม่ใช่บลอควิจารณ์หนังสือ ทุกอย่างที่จะเขียนแค่มาจากความรู้สึกที่มีต่อหนังสือนั้น ผู้เขียนมิได้มีความรู้ความสามารถทางภาษาดีเลิศ เขียนนิยายก็ไม่เป็น และไม่อาจหาญกล้าไปฟันธงว่านิยายนั้น "ดีหรือไม่" อย่างไร รู้เพียงแต่ว่า "ชอบหรือเปล่า" ก็เท่านั้น


โดยส่วนตัวได้อ่านนิยายคุณกิ่งฉัตรมานาน บางเรื่องไม่รู้หรอกว่าคุณกิ่งฉัตรเขียน เพราะสมัยก่อนเวลาอ่านนิยายไม่ค่อยได้สนใจชื่อผู้แต่งสักเท่าไหร่ เรื่องไหนมีอยู่ในบ้านก็เลียบๆเคียงๆถามแม่ว่าสนุกไหม แล้วก็เอามาอ่าน บางเรื่องก็ดูเอาจากละคร อ่านเอาจากเรื่องย่อเล่มละ 25 บาท แต่วันหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสไปเห็นรายชื่อนิยายทั้งหมดของคุณกิ่งฉัตรแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะแทบจะทั้งหมดที่เคยอ่าน เคยดูละคร และเป็นนิยายคุณกิ่งฉัตรเขียน เป็นเรื่องที่จัดอยู่ในจำพวก "ชอบ" ถึง "ชอบมาก" แทบจะทั้งหมด จากวันนั้นชื่อ "กิ่งฉัตร" จึงถูกจัดเอาไว้เป็นลำดับต้นๆของการตัดสินใจเลือกซื้อนิยาย เพราะค่อนข้างจะเชื่อขนมกินได้ว่านิยายเล่มนั้นคงจะทำให้ชอบได้ไม่ยาก


จุดเด่นของนิยายของกิ่งฉัตรนั้นอยู่ที่การใช้ภาษาที่สละสลวย อ่านแล้วไม่ติดขัด ไม่เคยคิ้วขมวดเลยว่าทำไมเลือกใช้คำนั้นคำนี้ เนื้อหา พล็อตเรื่องก็มีจุดเด่น น่าชื่นชมด้วยที่ทุกเรื่อง ย้ำว่าทุกเรื่อง คนอ่านจะได้ "สาระ" ออกมาจากตัวหนังสือเหล่านั้น ไม่มากก็น้อย (ซึ่งส่วนตัวคิดว่าขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของผู้อ่านเป็นสำคัญ)


ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เลือกเอา "สูตรเสน่หา และ ค่าของหัวใจ" ขึ้นมาเขียนถึงในบลอคแรก



**หมายเหตุ บลอคนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนังสือ**



๑. สูตรเสน่หา (เสียดายหารูปประกอบที่เป็นปกเก่าไม่ได้ เพราะครอบครองปกนั้นอยู่)


เรื่องเล่าของ "อลิน" ดาราสาวเจ้าเสน่ห์ ที่ออกจะมั่นอกมั่นใจในความแสนสวยแสนดีและร่ำรวยของตัวเองมากๆ


และเพราะความมั่นใจนี้ทำให้อลินมีลักษณะนิสัยที่...ทั้งน่าหมั่นไส้ น่าเบื่อและบางครั้งก็ค่อนข้างน่าเกลียดน่าชัง...แต่คนอ่านก็เกลียดไม่ลง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความที่อลินนั้นจริงใจในความรู้สึกของตัวเองมากๆ และเพราะเจ้าหล่อนรู้สึกว่าตัวเองแสนสวยแสนดีแบบ "ไม่ต้องมีคำบรรยาย" เหนือใคร เลยทำให้การแสดงออกต่อคนอื่นๆเป็นอย่างที่เห็น

อ่านแล้วก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งร้ายทั้งขำแบบน่ารักน่าตีเสียจริง


และเมื่อดาราสาวโคจรมาพบกับครูสอนทำอาหารตัวดำหน้าเข้มที่หล่อนเห็นว่าไม่มีอะไรเหมาะสมกับหล่อนเลยสักนิด แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่ออลินยังต้องอาศัย "ครูกุ๊ก" ให้เป็นผู้ช่วยในการพิชิตหัวใจของเจ้าชายในฝันที่อลินแสนจะคู่ควร


แต่นางเอกก็ยังคงเป็นนางเอกวันยันค่ำ ถึงอลินจะบ้า (บ้าหลงตัวเอง) แต่ใช่ว่าจะโง่ ในที่สุดสาวเจ้าก็เรียนรู้ว่า "ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง" และ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" นั้นเป็นอย่างไร เรื่องราวจึงจบลงอย่างมีความสุขแบบแสบๆคันๆให้คนอ่านได้สะใจกันไม่น้อย


"ถ้าคุณรักคนคนนั้นเพราะเขาสมบูรณ์แบบ พอเขามีข้อบกพร่องหรือไม่ได้พร้อมอย่างที่คุณวาดภาพไว้ ความรักก็จืดจางโดยง่าย....

แต่ถ้าเพราะคุณรักเขา เขาถึงสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีข้อเสียในสายตาคนอื่นมากมาย หากสำหรับคุณ เขาจะยังสมบูรณ์แบบเสมอ ยากที่จะเลิกรัก ยากที่จะตัดใจ และความรักไม่จืดจางไปง่ายๆ" -- คำโปรยจากปกหลังนิยาย



อย่างนี้จะเรียกว่าเข้าข่ายความรักทำให้คนตาบอดหรือเปล่านะ ^__^




๒. ค่าของหัวใจ


เรื่องราวต่อเนื่องจากสูตรเสน่หา ที่งานนี้อลินได้กลายมาเป็นคุณนายอลินของครูกุ๊กไปเสียแล้ว





ค่าของหัวใจ..เล่าเรื่องความรักของ ปฏิคม หรือ นายตัวเปี๊ยก ทนายหนุ่มประจำตัวอลิน (จะเรียกให้ถูกคงต้องเป็น เบ๊+กระโถนประจำตัวมากกว่า) คนที่คอยช่วยเหลือ รับใช้ และถูกโขกสับโดยอลินตลอดทั้งเรื่องสูตรเสน่หานั่นแหละ



ค่าของหัวใจให้ความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่อ่านสูตรเสน่หา นั่นคือ ให้ดูคุณค่าของคนจากภายในหัวใจของเขา เพราะคนที่ภายนอกสวยหรู งดงามนั้น ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เห็นเสมอไป แต่เรื่องนี้เพิ่มเอาค่านิยมที่มีต่อ "หญิงม่าย" ในสังคมไทยเข้ามาด้วย


นางเอกเป็นแม่ม่ายแถมมีเรือพ่วงมาอีกหนึ่งก็จริง แต่เจ้าของบลอคกลับรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ "สมบูรณ์แบบ" ที่สุดในเรื่องนี้มากกว่า


ไม่ใช่สมบูรณ์แบบเพราะคนเป็นนางเอกต้องสวย ต้องรวย ต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องมิเคยต้องมือชาย แต่เพราะความรู้สึกนึกคิด การยอมรับความจริง และการวางตัวของพรธาดาหรือนุ่น นางเอกของเรื่องนั้น ใกล้เคียงกับการเป็นคนในอุดมคติเป็นอย่างสูง

หลายครั้งที่ได้เห็นคำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "นุ่นเข้าใจ" กับเหตุการณ์ที่ถ้าเกิดกับเจ้าของบลอคซึ่งยังมีความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบอยู่สูงลิ่ว คงได้มีเละกันไปข้างหนึ่ง แต่นางเอกก็ยังสงบนิ่งอยู่ได้

ข้อสังเกต: แอบสงสัยนะว่า ที่เขียนให้นางเอกดีจนเรียบแปล้ขนาดนี้ จะเป็นเพราะชื่อของนางเอกนั้นเอามาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆในสังคมหรือเปล่า เพราะตอนแรกนางเอกเรื่องนี้ไม่ได้ชื่อ พรธาดา แต่เปลี่ยนตามชื่อของแฟนพันธุ์แท้นวนิยายไทย พอเอาชื่อเค้ามาเป็นชื่อตัวละคร เลยออกแนวเกรงใจ ไม่กล้าเขียนให้มีปัญหามากหรือเปล่า....แต่อย่างว่า นี่เป็นแค่การเดาของคนอ่านล้วนๆนะจ๊ะ

ในคำนำนั้น คุณกิ่งฉัตรได้ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า นางเอกเป็นม่ายและมีลูกติด แต่นี่อาจจะเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยของนิยายที่นางเอกของเรื่องมีปมด้อยอย่างนี้ (หลังหลุดจากยุคของนางเอกเรียบร้อยแสนดีไร้รอยด่างพร้อย - ดังเช่นที่อลินถามพรธาดาเป็นอย่างแรกว่าน้องไม้ใช่ลูกของหล่อนจริงๆหรือไม่ สมัยหนึ่งนิยายแทบทุกเรื่องหากนางเอกมีลูก ก็ต้องเป็นลูกของพี่ชาย พี่สาวทั้งนั้น) จึงทำให้คนเขียนไม่ลงแส้คนอ่านหนักนัก ด้วยการวางปมการเป็นม่ายของนางเอกได้สุดแสนจะสะอาดบริสุทธิ์ เราจึงได้เห็นนางเอกที่แต่งงานด้วยความรักอย่างถูกต้องตามประเพณี สามีของนางเอกก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าเห็นใจ แต่อยากจะทำนาย (แบบไม่กลัวหน้าแตก) เหลือเกินว่าอีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นนางเอกที่เป็นม่ายในรูปแบบที่น่ารังเกียจกว่านี้หลายเท่าก็เป็นได้


เพราะความเป็นคนสมบูรณ์แบบของนางเอก และความแสนดีของพระเอกนี่เอง ทำให้รัศมีของตัวละครสองตัวนี้ถูกกลบโดยเรื่องราวของคนอื่นๆในเรื่องจนแทบจะหมด



ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ประสบชัย-รติมา" ซึ่งตัวละครแบบรติมานี่แหละที่เจ้าของบลอคคาดว่าจะเป็นนางเอกในเรื่องต่อๆไปของกิ่งฉัตร

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือคู่ของ...


"นายประกอบกับกันตา" คนอ่านบางคนอาจจะบอกว่า กิ่งฉัตรฝีมือตกที่ไม่สามารถคุมโทนของเรื่องให้จุดเด่นอยู่ที่พระนางของเรื่องได้ แต่เจ้าของบลอคกลับอดคิดไม่ได้ว่าคนเขียน "ตั้งใจ" ให้คาแรคเตอร์ เรื่องราวและอายุของตัวละครดำเนินไปแบบนี้ เพราะเมื่อมาคิดว่าลักษณะตัวละครและเรื่องราวแบบเดียวกันนี้ เราสามารถพบเจอได้ในนิยายน้ำเน่าทั่วไป ประเภทพระเอก-นางเอกไม่ถูกกัน มีเหตุให้เกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แรกพบ แล้วสุดท้ายก็มารักกัน


เหมือนๆคุณกิ่งฉัตรจะบอกว่า พล็อตแบบนี้มัน 'เก่า' แล้วก็ 'แก่' พอๆกับอายุของตัวละครทั้งสองนี้แหละ

ครั้งหนึ่งพรธาดาพูดกับปฏิคมถึงเรื่องนี้แล้วก็ว่า "คิดแล้วเหมือนนิยายน้ำเน่าเลยนะคะ พระเอกเอาตัวนางเอกไปเพราะแค้นที่ปากมากนัก....." เห็นไหมว่า คนเขียนตั้งใจ


แต่แฟนคลับอลินอย่างเจ้าของบลอคกลับไม่ค่อยชอบใจบทบาทของเจ้าหล่อนในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ เพราะแต่ละฉากที่ออกมานั้นแย่งซีนคนอื่นได้หมดก็จริง แต่ออกไปในแนวน่ารำคาญมากกว่าน่ารักน่าหยิกอย่างที่เคยเป็นในสูตรเสน่หา อลินที่เคยฉลาดแกมโกงแบบซื่อๆ กลายเป็นซื่อแบบบื้อๆในหลายฉาก ซึ่งน่าเสียดาย


"มองให้เห็นค่าของคนคนนั้นจากตัวเขา จากหัวใจเขา ไม่ใช่จากรูปกายภายนอก ไม่ใช่จากเสื้อผ้าหรือข้าวของที่เขามี ไม่ใช่จากชาติกำเนิดที่เลือกไม่ได้ หรือสิ่งที่ทำพลาดพลั้งไปในอดีต แล้วคุณจะเห็นว่าผู้หญิงที่ไม่ใช่สาวโสดบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้เลวร้ายหรือด้อยค่าเลย" -- คำโปรยจากปกหลัง

Monday, November 19, 2007

Barbie as the Island Princess



I'm so fond of these Barbie movies. Of course it's Barbie, that's one thing. Beyond that I found the above-expectation animations and amazing pictures so wonderful. I just finished watching the newest Barbie fairytale "Barbie as the Island Princess" and it, just like it's freinds, didn't let me down.


Actually it has become one of my most favorite Barbie movies - besides from Barbie as the Princess and the Pauper. I love it when they combine such a musical sense into Barbie world. The main theme song called "I need to know" which I've been listening to who knows how many times. Sound strange but true, it has inspired me to get my own blog.


The story tells us about Barbie as a shipwrecked girl - Ro - whose fate brought her to an island in the south sea. There she made a family, not of humans but animals. Sagi - the red panda, Tika - the elephant, and Azul - the peacock, well prince of peacock as he always claimed, were her family. Of course when you have animals as your family, you can 'talk' to animals.




We can say that Ro is a female version of Tarzan, only there's no gorilla in that island! Anyhow, Ro grew up with no memories of her past. But deep down in her heart, she always wanted to know who she was.


One day, a prince named Antonio came to the island. He immediately fell in love with Ro, in fact, after she had rescued him from her fellow crocodiles. The prince took Ro - along with her family - to his kingdom and that's where Ro's journey of finding herself began.


Just like Tarzan, Ro found it hard to live in a 'civilized' land, especially, when there's people like Queen Ariana on that land! Ariana wanted to revenge King Peter, the prince's father, and poor Ro was the only one who can ruin her evil plan. I'm not going to spoil it all out in this blog, but I guess that's enough get the picture how the story goes, right?


Anyway, Barbie movies are for little girls. For sure they all have a happy ending and I don't have anything to complain about it. I love it when they do that, life has more than enough sadness. However, I found the idea of turning Ro into Princess Rosella in the end is quite unnecessary. It could be better if Ro would still be just Ro - an ordinary girl who lost all her family in a shipwreck, and the King could accept and allow her to marry the prince. Then we can say "It doesn't matter who you are, but what you do does!!!"


Well, like I said, it's a fairytale for little girl and it might be the best this way.

I'd like to end this entry with a part of lyrics from the main theme song "I need to know", which I couldn't stop listening at this moment.
"I need to know these answers,I need to find my way. Seize my tomorrow,Learn my yesterday...I need to take these chances, Let all my feelings show. Can't tell what's waiting. Still I need to go. I need to know..."


Start out a memory

I once wrote a diary
To keep all the memories that pass through my path
One day, that diary vanished into a thin air
I was so disappointed,
Then I stopped writing...

I'm not so sure why I need to have a diary again
I'm not so sure why it has to be today
But I'll take my chance,
To start writing...

I don't know if I can keep this blog long enough
I don't know if I can update it often
All I know, I need to start it out
Today is the day

"
I need to know these answers,
I need to find my way
Seize my tomorrow,
Learn my yesterday...

I need to take these chances,
Let all my feelings show
Can't tell what's waiting
Still I need to go
I need to know
"

I need to know -- O.S.T Barbie as the Island Princess