Wednesday, November 21, 2007

จากแก้วตาหวานใจถึงผีเสื้อลายตะวัน (ดวงตะวัน) ภาคหนึ่ง

นาทีนี้หากมองไปที่ชั้นหนังสือของตัวเองก็คงจะบอกได้ไม่ยากเย็นนักว่า...ดวงตะวัน...คือนักเขียนคนโปรด

ด้วยหนังสือที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่บนนั้น คือ นิยายของดวงตะวัน

คล้ายๆกับกิ่งฉัตร ดวงตะวันมีสำนวนการเขียนที่ไพเราะ เรียบง่ายและจับใจ อีกทั้งทุกๆเรื่องก็มีสาระมากกว่าความเป็นนิยายประโลมโลก มากกว่าความรักหญิงชาย บางเรื่องยังสอดแทรกแนวคิดเรื่องปัญหาสังคมไว้อย่างลึกซึ้งด้วย




รู้จักชื่อของดวงตะวันครั้งแรกจากนิยายเรื่อง "แก้วตาหวานใจ" ที่ติดตามเป็นตอนๆใน (คาดว่าน่าจะเป็น) นิตยสารกุลสตรี และส่งให้ชื่อของดวงตะวันขึ้นมาอยู่ในลิสต์นักเขียนที่น่าจับตามองในทันที



เรื่องราวของหวันยิหวา หรือ ไข่หวาน...ผู้หญิงแมนเกินหญิง กับ อนิล หรือ ลุงช้าง...ที่อ่อนโยนเกินชาย ที่โคจรมาพบเจอกันได้ ด้วยสายใยบางๆที่ชื่อ เด็กหญิงมดตะนอย เด็กหญิงตัวน้อยที่เป็นลูกของพี่ชายนางเอกกับน้องสาวพระเอก!!

ด้วยความที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ความผูกพันจึงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อย

เรื่องนี้นางเอกมาอาศัยอยู่กับพระเอก เพื่อภารกิจสองอย่าง คือ ตามหาหลาน กับ พิสูจน์ตัวเอง (ด้วยการประกวดเป็นพรีเซนเตอร์ของสถาบันการเงิน) โดยที่เข้าใจว่า ลุงช้างเป็นเกย์!!!

อ่านแล้วหลงรักตัวละครหลายตัว ไข่หวานก็เท่ห์ ลุงช้างก็อบอุ่น มดตะนอยก็น่ารัก แม้เรื่องราวบางอย่างจะน่าเบื่อเนื่องจากความอ้ำอึ้งของตัวละครบางตัว แต่ก็ต้องยกประโยชน์ให้ เพราะหากชัดเจนกันหมดเสียแต่แรก ก็คงไม่มีนิยายสนุกๆให้อ่าน

เสียดายที่เรื่องนี้ช่องเจ็ดได้ไป โปรดักชั่นของช่องนี้ไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงได้เห็นตัวละครในหนังสือออกมาโลดแล่นได้ประทับใจกว่านี้







เรื่องที่สองของดวงตะวัน มีโอกาสได้อ่านจากความเอื้อเฟื้อของน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งบนโลกไซเบอร์ ที่อุตส่าห์ส่งนิยายข้ามมาจากอีกฝากของประเทศให้ได้อ่าน

"แผ่นดินหัวใจ"...เป็นงานที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่า ดวงตะวันเป็นนักเขียนคนโปรดและตัวนิยายเองก็เป็นนิยายเล่มโปรด

เรื่องเล่าถึงโมฬี หรือแตงโม พัฒนากรสาวจบใหม่ไฟแรง และ กำนันหนุ่มร่างใหญ่ หน้าดุแต่ชื่อน่ารักไม่สมตัว กำนันไก่โต้งแห่งตำบลบางส้มเปรี้ยว กับการต่อสู้ การเผชิญหน้ากับปัญหาสารพันที่รุมเร้ากันเข้ามาในอำเภอเล็กๆ ในที่ราบลุ่มภาคกลางที่ห่างจากกรุงเทพฯไม่กี่ชั่วโมงแห่งนี้

ดวงตะวันหาข้อมูลและถ่ายทอดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาที่เหล่าชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวต้องเผชิญได้อย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นการที่เศรษฐกิจในเมืองกรุงล่มจนเกิดปัญหาแรงงานไหลกลับคืนถิ่น ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่น ปัญหาเรื่องระบบราชการไทย ปัญหาเรื่องการเกษตร ปัญหาเรื่องความฟุ้งเฟ้อของระบบทุนนิยมที่ลุกลามมาจนถึงตำบลเล็กๆแห่งนี้ (ความจริงไม่แน่ใจว่าบางส้มเปรี้ยวมีขนาดแค่ไหน แต่ดูเอาจากความสัมพันธ์ของชาวบ้าน คิดว่าเองคงไม่ใหญ่มาก)

สำหรับตัวโมฬีนั้นถึงแม้ว่าจะค่อนข้างติดดิน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็น "คุณหนู"
ประเภทพ่อเป็นอดีตอธิบดีกรมเพิ่งเกษียณ แม่ก็ออกแนวคุณนายไฮโซ แต่โชคดีที่ทั้งสองเป็นคนดีมีคุณธรรมแล้วก็ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง โมฬีถึงไม่ได้เติบโตมาแบบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

งานนี้นางเอกของเราเรียกว่า พกพาความฝันและอุดมการณ์มาเต็มกระเป๋า
แต่ก็นั่นแหละ คุณหนูที่นั่งจินตนาการภาพความเป็น "ชนบท" อยู่ในห้องเรียนติดแอร์ในเมืองหลวงที่แสนสะดวกสบายพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง พอต้องมาเจอสภาพและปัญหาของแท้ ก็เล่นเอาสติกระเจิงไปหลายหน

ยิ่งมาเจออีตากำนันขาใหญ่เจ้าถิ่น ที่ไม่ว่าเธอจะหยิบจะจับโครงการอะไร อีตานี่ก็ต้อง "เคยคิดไว้แล้ว, เริ่มๆไว้แล้ว" ไปเสียทุกที ความหมั่นไส้ไม่กินเส้นแค่ได้ยินชื่อก็เหม็นขี้หน้าเลยตามมาอย่างช่วยไม่ได้

พ่อพระเอกก็ร้ายไม่เบา ตามมาดูตัวและลองเชิงคุณพัฒนากรคนใหม่ถึงอำเภอเลยทีเดียว!

ยกแรก...พระเอกปล่อยไปหนึ่งหมัด เล่นเอานางเอกหน้าเกือบหงาย

"แต่นาข้าวที่รอปุ๋ยกับปัญหาปากท้องของชาวบ้านน่ะ มันไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการหรอกนะ"

ชอบมากกับประโยคนี้ รู้สึกสะใจลึกๆ คนทำงานราชการเช้าชามเย็นชามบ้านเรามาอ่านเข้าคงสะอึกกันเป็นแถว (มั๊ย? มั๊ง...)

พอสองคนเริ่มทำความรู้จักกัน เริ่มทำงานร่วมกัน ก็เห็นถึงเนื้อทองของกันและกันตามระเบียบ ความรักจึงก่อกำเนิดขึ้น ก็นิยายเขาเป็นนิยายรักนี่นา ยิ่งทั้งสองมีสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี ยิ่งเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน บวกกับความตั้งใจอันแน่วแน่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านบางส้มเปรี้ยวมาเป็นตัวผลักดัน ความผูกพันของสองคนก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น

แต่...ถ้าสองคนรักกันแล้วจบ นิยายเรื่องนี้คงบางกว่าหนังสือขายหัวเราะ

พระนางช่วยกันแก้ไขปัญหาของบางส้มเปรี้ยวไปทีละอย่าง จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่อง แต่ปัญหาหนักที่มีอยู่และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ คือ คำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เทวดาที่ต้องอาศัยปุ๋ยเคมีราคาแพงเพื่อให้มันเจริญงอกงาม ทำเอาชาวบ้านเดือดร้อนกันแสนสาหัส ที่สำคัญคำสั่งนั้นมันมีเลศนัยและจับมือใครดมไม่ได้เสียด้วย!

ตัวร้ายของเรื่องนี้ เรียกว่าเป็นตัวร้ายที่มีตัวตนจริงในสังคมเบี้ยวๆของเรานี่แหละ หาได้ง่าย มีทั่วไปกลาดเกลื่อนยิ่งกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแถวคลองรังสิตเสียอีก

อะไรจะทำให้คน "ร้าย" ได้อย่างสุดแสน ยิ่งกว่า... ความโลภ ...อีกล่ะ
ก็ความโลภน่ะ มันไม่มีเหตุผล ไม่เลือกเวลา ไม่มีที่มาที่ไป และไม่มีคำว่า 'พอ'

ขณะที่ปัญหาทั้งหลายแหล่ก็ยังคงรุมเร้าอำเภอเล็กๆแห่งนี้ พ่อกำนันกับคุณพัฒนากรก็ปากหนัก ไม่มีใครเผยความในใจของตัวเอง ได้แต่มองตากันไปมา เก็บงำความรู้สึกไว้ข้างใน ได้แต่คิดว่าอีกฝ่าย 'มองตา..ก็น่าจะรู้ใจ'

แต่พ่อพระเอกก็ยังมีปัญหาส่วนตัวเรื่องน้องชายตัวเองเข้ามาอีก อารมณ์กำลังเสียอยากให้สาวเจ้าปลอบใจ พอไปเจอภาพบาดตาว่าสาวไปกินข้าวกับไอ้หนุ่มอื่นก็เลยเบรกแตก ไปเหวี่ยงใส่คุณนางเอกเข้าให้

คนเราถ้าคุยกับด้วยอารมณ์ ทุกอย่างก็จอดไม่ต้องแจว!

แต่อันนี้ต้องขอตำหนินางเอกอย่างรุนแรง เพราะก่อนที่จะมาโดนพ่อกำนันท่านวีนใส่ นางเอกไปพบเจอหลักฐานที่จะเอาผิดเจ้าของคำสั่งส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เจ้าปัญหาแล้ว แต่พอถึงคราวหน้ามืด โกรธ น้อยใจพระเอกจัด ก็หนีกลับเข้ากรุงเทพฯไปสงบสติอารมณ์ซะงั้น ไม่ได้แยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานเอาเสียเลย งานนี้ภาพคนมีเหตุผลของนางเอกเลยพังไม่มีชิ้นดี

กว่าทุกอย่างจะลงตัว ปัญหาได้รับการแก้ไข คนชั่วได้รับกรรมที่ก่อ ก็เล่นเอาพ่อกำนันไก่โต้งเหงื่อตก เพราะต้องวิ่งเข้ากรุงเพื่อง้อนางเอกถึงสองหน

นิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้ตามสไตล์ดวงตะวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนอ่านนิยมสุขนาฏกรรมอย่างเรา
สิ่งที่ชอบมากๆคือ บุคลิกของกำนันไก่โต้ง เป็นผู้ชายอบอุ่นมากกกกกก น่ารักก็ได้ จริงใจเป็นที่หนึ่ง พอถึงคราวจะเข้มก็เข้มได้ใจ ผู้ชายแบบนี้เรียกว่าเป็น ชายในฝัน เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเพอร์เฟคไปทุกอย่าง เพราะบางคราวก็งี่เง่าได้สุดๆเหมือนกัน แต่ยกประโยชน์ให้ เพราะแทบนับครั้งได้
บุคลิกของนางเอกก็ชอบ น่ารักดี ไม่ได้มีแค่อุดมการณ์ยังมีสมองด้วย แต่เป็นนางเอกนิยายไทยต้องงี่เง่าหน่อยๆ ไม่อย่างนั้นนิยายจบเร็วเกิน ไม่มีเรื่องให้ลุ้น

ที่ขัดใจมากๆมีกับนางเอกมีแค่สองตอน
เรื่องแรกคือ ตอนที่งอนจนลืมตัว ลืมหน้าที่ ลืมทุกอย่าง แล้วก็หนีกลับบ้านทั้งที่ไปเจอกับหลักฐานสำคัญเข้าแล้ว
กับอีกตอนที่ นางเอกซึ่งเอารถพระเอกมาขับแล้วโดนลอบยิง ถึงจะเป็นแค่การยิ่งขู่ก็เถอะ เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ แทนที่จะรีบบอกกล่าวกัน แต่เธอกลับไปเก็บเงียบไว้ได้อีกตั้งสามสี่วัน มันดูแปลกๆขัดๆกับความเป็นจริงไปหน่อย

แต่นางเอกมาแก้ตัวได้นิดหน่อยตอนใกล้จบ ที่ถึงจะเข้าใจผิด จะโกรธจะงอนแค่ไหน ก็ยังมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จก่อน (แล้วค่อยไปงอน)

นอกนั้นก็ถือว่าประทับใจมากๆกับนิยายเรื่องนี้ ทั้งการผูกเรื่อง สำนวนการเขียน สมกับเป็นดวงตะวัน


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนงานของดวงตะวันที่เคยได้สัมผัสมาทั้งหมดในบลอคนี้ แต่เขียนแล้วมันส์มือ หยุดไม่อยู่ เขียนอยู่หลายวันได้แค่สองเรื่อง กลัวว่ากว่าจะเขียนครบบลอคนี้คงยาวไปถึงสุไหงโกลก เลยตัดสินใจว่าหยุดภาคแรกเอาไว้ตรงนี้ดีกว่า

พบกันใหม่ภาคสอง!!!

No comments: